พิพิธภัณฑ์สงคราม
war Museaum Cambodia
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยุคเขมรแดง
-------------------------
โดย.. ณ วงเดือน
เมื่อปลายปี 2559 เดือนพฤศจิกายน ได้มีโอกาศเดินทางไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์สงครามสมัยยุคเขมรแดงเรื่องอำนาจ ยังหลงเหลือร่องรอย อาวุธสงครามที่ใช้ฆ่าล้มล้างกันเอง พิพิธภัณฑ์สงคราม หรือว่า war museaum cambodia ที่นี่เป็นที่รวบรวมเอาซากอาวุธที่ใช้เข่นฆ่ากันในยุคเขมรแดงตอนนั้นมาจัดแสดงรวบรวมเอาไว้ยังที่นี่ มีค่าเข้าชมคนละ 5 ดอลล่า
เมื่อเราเดินเข้าไปยังด้านในของพิพิธภัณฑ์ จะพบการจัดแสดงของ
ซาก รถถัง จรวดต่อสู้อากาศยาน ปืนใหญ่ กับระเบิด ลูกระเบิดชนิดต่าง ๆ มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญมากมาย รวมทั้ง อาวุธปืนต่าง ๆ มาจัดแสดง และภาพถ่ายของประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการถูกกับระเบิด หรือว่าเดินไปเยียบกับพวกระเบิดที่ถูกฝังดินเอาไว้ในยุคนั้น
เมื่อเราเดินเข้าไปยังด้านในของพิพิธภัณฑ์ จะพบการจัดแสดงของ
ซาก รถถัง จรวดต่อสู้อากาศยาน ปืนใหญ่ กับระเบิด ลูกระเบิดชนิดต่าง ๆ มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญมากมาย รวมทั้ง อาวุธปืนต่าง ๆ มาจัดแสดง และภาพถ่ายของประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการถูกกับระเบิด หรือว่าเดินไปเยียบกับพวกระเบิดที่ถูกฝังดินเอาไว้ในยุคนั้น
พิพิธภัณฑ์สงครามนี้มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมืองระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาและทหารของฝ่ายเขมรแดง
โดยจะมีซากรถถัง ยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ไปกู้ซากมาจากเขตการสู้รบในจังหวัดต่างๆ เช่น
อัลลองเวง เสียมเรียบ และอื่นๆ เพื่อนำมาจัดแสดงไว้ที่นี้
มีอาวุธสงครามแบบต่างๆให้หยิบมาถ่ายภาพได้่ เราเดินเที่ยวชมภายใน ประมาณ 30 นาที โดยรอบ ซึ่งก็มีซากรถถังมากมายที่ถูกทำลาย นำมาเก็บไว้เพื่อจัดแสดงถึงความเป็นมาในอดีตให้ได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม ที่ให้ได้มาเป็นข้อคิดเตือนสติ ของคนในสมัยปัจจุบันนี้ ได้ผ่านมุมมองของความคิดที่แตกแยก ในอดีตที่ทำให้ถึงขนาดเกือบสิ้นชาติ แผ่นดินกันเลยทีเดียว
เราเดินดูด้วยความสลดหดหู่ใจอยู่สักพัก จึงได้พากันออกมา ซึ่งในการเดินทางไปครั้งนั้น กับท่านมหาเปรียญ 4 ประโยค ท่าน กมล มงคลเกตุ เป็นที่ปรึกษาด้านวรณคดีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คอยพาตะลอนดูในความเป็นไปของมนุษยชาติ ที่ว่า คนพูดจาภาษาเดียวกันแท้ ๆ ทำใมถึงได้มีจิตใจโหดร้ายฆ่ากันเองได้แบบไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้เพราะ แค่มีมุมมองความคิดที่แตกต่าง ๆ ในแนวการปกครองเพียงเท่านี้เอง
เขมรแดงถือเป็นตัวแทนความสำเร็จเชิงอำนาจของพรรคการเมืองลัทธิคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา
ที่ต่อมาได้พัฒนาไปเป็น พรรคคอมมูนิสกัมพูชา สิ่งแรกที่เขมรแดงกระทำหลังจากได้รับอำนาจ
คือ การกวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญ และเมืองสำคัญอื่น ๆ มาบังคับให้ทำการเกษตร และใช้แรงงานร่วมกันในพื้นที่ชนบท
เพื่อจำแนกประชาชนที่ถือว่าเป็น "ศัตรูทางชนชั้น" ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ข้าชการ เชื้อพระวงศ์
ผู้มีการศึกษา หรือผู้มีวิชาชีพเฉพาะในด้านต่าง ๆ ออกมา
เพื่อขจัดทิ้ง การกระทำดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชา ต้องเสียชีวิตจากการถูกสังหาร
ถูกบังคับใช้แรงงาน และความอดอยาก เป็นจำนวนประมาณ 850,000 ถึง
3 ล้านคน
ซึ่งเมื่อเทียบอัตราส่วนของประชาชนที่เสียชีวิตต่อจำนวนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดในขณะนั้น
(ประมาณ 7.5 ล้านคน ใน พ.ศ. 2518) ถือได้ว่าระบอบการปกครองของเขมรแดงเป็นหนึ่งในระบอบที่มีความรุนแรงที่สุดในช่วง
คริศตวรรษที่ 20 หลังจากที่เขมรแดงปกครองกัมพูชาเป็นระยะเวลา 4
ปี ใน พ.ศ. 2522
อำนาจการปกครองของเขมรแดงก็สิ้นสุดลง
เนื่องจากการบุกยึดกัมพูชาของกองกำลังจากเวียดนาม แต่อย่างไรก็ตาม
ปฏิบัติการเคลื่อนไหวแบบต่อต้านของเขมรแดง โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันตกของกัมพูชา
ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่ไทย ก็ยังคงดำเนินต่อมาในช่วงทศวรรษที่
90 จนกระทั่ง ปี 2539 นายพล พต หัวหน้าขบวนการในขณะนั้น
ก็ยุติการทำงานของเขมรแดงลงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพ พล พต ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2541 โดยที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาคดีสังหารหมู่ประชาชนในช่วงที่เขมรแดงยังมีอำนาจอยู่แต่อย่างใด เช่นเดียวกันกับนายพล ตามํอก อดีตผู้บัญชาการเขมรแดง
ที่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 กค. 2549 ระหว่างการควบคุมตัวจากรัฐบาล กัมพูชาเพื่อรอพิจารณาคดี ปัจจุบัน มีเพียง
คังเอ็กเคียว (หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ดุช”) อดีตหัวหน้าค่ายกักกันตวลสะเลง และนวนเจีย อดีตสมาชิกระดับผู้นำ
เท่านั้นที่ถูกนำตัวมาพิจารณาโทษจากศาลพิเศษซึ่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีของอดีตกลุ่มผู้นำเขมรแดงโดยเฉพาะ
โดยได้เริ่มการพิจารณาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา
บันทึกการท่องเที่ยว
จึงขอรวบรวมบทความต่าง ๆ มาบันทึกไว้เป็นความรู้ยังที่แห่งนี้ด้วยที่ครั้งหนึ่งได้ไปเยือนมาแล้ว..
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น