10 ธ.ค. 2564

เจดีย์มหามงคลบัว จ.รัอยเอ็ด

โดย.ณ วงเดือน

   
     เมื่อหลายปีก่อน ได้มีโอกาศแวะผ่านเที่ยวชม เจดีย์มหามงคลบัว สร้างเป็นอนุสรณ์แด่พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโน แห่งวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
 เจดีย์นี้ ตั้งอยู่ริมถนน ทล.232  ด้านหลังเป็นท้องทุ่งนาโล่ง ใน ต.หนองแวง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเมื่อขับรถผ่านยังเส้นทางนี้ จะสามารถมองเห็นองค์เจดีย์สีเหลืองทองอร่าม สูงถึง 49 เมตร มองเห็นได้แต่ไกล

ที่ด้านหน้าและ ด้านข้างเจดีย์ มีการขุดสระน้ำไว้ ด้วย โดยเจดีย์แห่งนี้ ได้รับการอนุญาติให้สร้างขึ้น ในขณะที่หลวงตา ยังมีชีวิตอยู่ สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.



เจดีย์มหามงคล "บัว " แบ่งเป็น 4 ชั้น โดยชั้นล่างสุดจัดแสดงอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านไทยอิสาณ  มาที่ชั้นสอง จัดทำเป็นห้องสมุด รวบรวมหนังสือต่าง ๆ ตลอดหนังสือธรรมะที่ ท่านหลวงตามหาบัว ท่านได้แต่งขึ้น


มาในส่วนชั้นที่ 3 มีรูปเหมือนของหลวงตามหาบัว และห้องโถง ใช้เป็นสถานที่นั่งบำเพ็ญสมาธิภาวนา ได้ด้วย และในชั้นที่ 4 บนสุด มีพระประธาน และรูปบูรพาจารย์ต่าง ๆ  หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น  หลวงปู่หล้า และ หลวงตามหาบัว
ความสวยงามของเจดีย์ รูปทรงคล้ายเจดีย์พระธาตุหลวง เมืองเวียงจันทร์ ของประเทศลาว ทั้งรูปทรงและใบเสมา 
โดยรอบ องค์เจดีย์                          

ทางผู้เขียนได้เดินทาง จากตัว จ.ร้อยเอ็ด มุ่งหน้าไป จ.กาฬสินธุ์  ถึงสี่แยกบ้านบัว เลี้ยวซ้าย มาตามทางหลวง 232 และได้ขับต่อมาเกือบ 1 กม. ก็พบ เจดีย์มหามงคลบัว จะอยู่ทางซ้ายมือ จึงได้บันทึกไว้เป็นความทรงจำ ที่ได้มา
กราบเยี่ยมชม เจดีย์อันทรงคุณค่านี้..

3 ธ.ค. 2564

อนุสาวรีย์ วีรกรรมพลเรือน ตำรวจ ทหาร อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน

โดย.ณ วงเดือน
ตามรอยวีรกรรมความกล้าหาญ ของเหล่าผู้กล้าทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่สละชีพปกป้องชาติไทยไว้ในยุคที่ ระบอบคอมมิวนิสต์คุกรุ่นในช่วงปี 2516-2519 ที่อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน
เมื่อช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้เดินทางผ่าน อนุสรณีย์วีรกรรมแห่งนี้ ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทย ตั้งอยู่เนินเขาลูกเตี้ย ๆ ริม ทล.1080 สายน่าน-ทุ่งช้าง บริเวณหลักกม.ที่ 84 อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน                        
สถานที่แห่งนี้ ในหลวงและพระราชินี รัชกาลที่ 9 ได้พระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดและวางพวงมาลา    
 เมื่อ 10 กพ.2519     
                    และทุกปีถือเอาวันที่ 10 กพ.นี้
เป็นวันวางพวงมาลาและบำเพ็ญกุศลแด่วีรชนเหล่านั้น                                     
ที่ตั้งจะอยู่สูงขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ย ๆ ซึ่งมีบันได ไต่ขึ้นไปทั้ง 3 ด้านเมื่อขึ้นไปสู่ลานด้านบน จะพบกับที่ตั้งรูปปั้นตำรวจทหาร พลเรือน กำลังช่วยกันตั้งเสาธงชาติขึ้น และโดยรอบมีพื้นที่ลานกว้างพอสมควร
อนุสาวรีย์วีรกรรม สร้างไว้เพื่อตระหนักให้คนผู้อยู่เบื้องหลังได้ตระหนัก ถึงความกล้าหาญ ของเขาเหล่านั้น ที่ต่างเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อปวงชนผู้อยู่ข้างหลังได้มีแผ่นดิน ที่อยู่อาศัยสืบไป                              
ความเป็นมาของ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน แต่เดิมมีฐานะเป็นแขวง เรียกแขวงขุนน่าน เจ้าผู้ครองแขวงชื่อ เจ้าพรม ณ น่าน  ปกครองเมืองช่วงปี พศ.2442-2446          
      
แล้วต่อมาได้รับยกฐานะเป็นอำเภอ  จนเมื่อปี พศ.2504 ทางอำเภอได้ย้ายมาสร้างอาคารที่ทำการใหม่ ที่บ้านทุ่งช้าง หมู่ 2
จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอทุ่งช้าง
รายชื่อเหล่าผู้กล้า ที่พลีชีพปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทั้ง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ที่แท่นแต่ละด้านของอนุสาวรีย์วีรกรรม แห่งนี้
ในเขตพื้นที่ของ อ.ทุ่งช้าง แห่งนี้ มีการสู้รบของ ขบวนการคอมมิวนิสต์  ซึ่งเริ่มมีการปฎิบัติการมาตั้งแต่ ปี พศ.2506 ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปี พศ.2518
โดยอำเภอทุ่งช้างแห่งนี้ ประกอบด้วย 4 ตำบล 40 หมู่บ้าน มีชาวไทยหลายเผ่า ทั้ง ขมุ  เหาะ , ม้ง , ถิ่น ,ลัวะ ,ไทลื้อ ,ไทเหนือ ซึ่งเป็นชาวไทยภูเขา มีพื้นที่ทั้งหมด  504,206.875 ไร่ อยู่ห่างตัวจังหวัดมา 90 กม.  และมีพื้นที่ชายแดนติดกับ สปป.ลาว ทางด้านทิศตะวันตก                             
อำเภอทุ่งช้างแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งนอกจากอนุสาวรีย์วีรกรรม พตท.แห่งนี้ ทั้งจุดผ่านชายแดนไทย-ลาว บ้านห้วยสะแตง  ,ถ้าผาผึ้ง ,ถ้ำผาแดง,ถ้ำค้างคาว,น้ำตกผายักษ์ และยังมีอีกหลายสถานที่ 
จึงขอบันทึกไว้เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ได้มาเยือนเที่ยวชม อนุสาวรีย์วีรกรรมของเหล่าผู้กล้า ที่ อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน แห่งนี้..

30 พ.ย. 2564

แวะมาชมพระธาตุศรีปัวแบ่ง เทพมงคล อ.เชียงกลาง จ.น่าน

โดย. ณ วงเดือน

   ตั้งใจแวะเข้ามากราบและเที่ยวชม วัดเจดีย์ หรือ (วัดคาว ) หมู่ 3 ต.เชียงกลาง อ.เชียงกลาง จ.น่าน ห่างจากตัวอำเภอ 3 กม.เป็นวัดที่มีอายุหลายร้อยปีมาแล้ว ก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกับบ้านเชียงกลางแห่งนี้เลยก็ว่าได้
ซึ่งวัดนี้มีหลวงพ่อองค์อินทร์พุทธนิมิต อายุกว่า 400 ปีมาแล้ว และยังมีพระธาตุเจดีย์เก่าแก่ ทรงลังกา หรือระฆังคว่ำ มีความสูง 16 เมตร ฐานกว้าง 12 เมตร สีทองเหลืองอร่าม สวยงามมาก ให้ได้เที่ยวชม                              
ตามข้อมูลของทางวัด ได้รับการตั้งอนุญาติเป็นวัดมาตั้งแต่ ปี พศ.2120 และได้รับวิสุงคามสีมา ในปี พศ.2335  เป็นวัดที่
มีความสำคัญมากของ อ.เชียงกลาง ที่ชาวบ้านแถบนี้ ให้ความเคารพศรัทธาเหลือล้น   
ในการได้มาเยือนเที่ยวชม ของ 
"บันทึกเที่ยวไปกับ ณ วงเดือน " ในครั้งนี้ ก็ไม่พลาดที่จะขอพรและกราบไหว้ เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต ที่ได้มาเยือน
ยังวัดเก่าแก่ แห่งนี้อีกด้วย                 
แต่เป็นที่น่าเสียใจ ที่ทางวัด ต้องมาสูญเสียพระพุทธรูปที่มีอายุกว่า 400 ปี ไปหลายองค์ จากการโจรกรรมของคนร้าย ที่เข้ามาขโมย พระเครื่องมีค่า ไปหลายองค์เมื่อ ปี 2555 ที่ผ่านมา                              
ซึ่งพระมีขนาดหน้าตัก ไม่เกิน 5 นิ้ว สร้างมาจากทองสัมฤทธิ์บ้าง เนื้อดินบ้าง ตลอดจนแกะสลักมาจากไม้ ที่ทำขึ้นมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ละองค์ล้วนมีคุณค่ามาก 
ทั้งทางจิตใจและประเมินค่ารมิได้อีกด้วย   
พญาราชสีห์ ตรงประตูทางเข้าวัด ได้ยืนเฝ้าประตูทั้งซ้ายและขวา ดูสะพรึงน่าเกรงขามและสวยงามมากเลยทีเดียว                
ก็ถือโอกาศที่ได้มาเที่ยวชม ยังวัดเจดีย์
 ( คาว ) อ.เชียงกลาง จ.น่าน ที่มีพระธาตุศรีบัวแปงเทพมงคล เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน แถบนี้และได้มากราบ
เพื่อความเป็นมงคลแก่ตน ที่ได้มาชมด้วย
 ในทุกปี ทางวัดและคณะกรรมการหมู่บ้าน จะจัดงานประเพณีนมัสการ องค์พระธาตุ
ขึ้นเป็นประจำทุกปี ในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 5 ของทุกปี มีขบวนแห่น้ำอบ น้ำหอม
เพื่อสรงน้ำพระธาตุ ตลอดการละเล่นต่าง ๆ เป็นที่รื่นเริงในทุกปี..

13 เม.ย. 2564

มาชมค้างคาวแม่ไก่นับแสนตัว ที่วัดโพธิ์ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา โดย.ณ วงเดือน


   เมื่อช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ที่ผ่านมา บันทึกเที่ยว ในความทรงจำ ได้เดินทางมายัง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อมาเที่ยวชม ค้างคาวแม่ไก่ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีจำนวนนับหมื่นแสนตัวเลยก็ว่าได้ ที่วัดโพธิ์ อ.บางคล้า นั้นเอง



วัดโพธิ์บางคล้า เลยจากตัวอำเภอมาทางด้านซ้ายมือของตัวตลาด วัดแห่งนี้เชื่อกันว่า สร้างในรัชสมัยพระเจ้าตากสิน  ราวปี พศ.2315 เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่เคยใช้บริเวณนี้ เป็นที่พักทัพ ในคราวเดินทัพเพื่อกอบกู้เอกราช ปัจจุบันยังมีวิหารเหลืออยู่ รูปทรงจตุรมุข ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ และรูปเขียนสีโบราณ รอบผนังวิหาร
   นี่คือต้นงิ้ว ที่มีหนามแหลมคม ที่ด้านข้างวิหาร มีชาวบ้านผู้นับถือ นำผ้าหลากสีมาผูกโอบเอาไว้ 
ความเป็นมาคร่าว ๆ ของวัดแห่งนี้ มีป้ายขนาดใหญ่ บันทึกไว้ว่า วัดโพธิ์บางคล้า เริ่มมีมตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด จากหลักฐานบางอย่างอาจสันนิษฐานได้ว่า มีมาครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และเมื่อปี พศ.2309  คราวพระเจ้าตากสินนำกองกำลังตีฝ่าวงล้อม กองทัพพม่า จากกรุงศรีอยุธยา 

         วิหารหลังนี้ เชื่อว่าสร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นทรงจตุรมุข มุงด้วยกระเบื้องเกล็ดเต่า โดยมีคำบันทึกทางวัดว่า ได้มีการซ่อมแซม หลังคาอีกครั้งเมื่อปี  พศ.2485 ต่อมาหลังคาพังทลายลง และได้ซ่อมแซมขึ้นใหม่อีก ใน ปี พศ.2541 ที่ผ่านมา

ด้านหน้าวิหาร และภายในวิหารมีเพียงพระพุทธรูปปางไสยาสน์ และผนังปูนเก่าแก่ และภาพเขียนสีเท่านั้น ที่ยังเป็นของเก่าแก่มาแต่สมัยการก่อสร้างมาวิหารแห่งนี้
        ทางบันทึกเที่ยว ได้เดินเข้าไปชมด้านในวิหารหลังเล็ก ๆ ซึ่งยังคงรูปแบบเดิม ตลอดปูนอิฐก้อนสมัยเก่า ที่แตกออกตามกาลเวลา ยังดูเหลือร่องรอยที่ยังมั่นคงแข็งแรงอยู่ถึงปัจจุบัน  โดยรอบผนังวิหารก็ยังมีรูปเขียนสี โบราณเรื่องราวชาดก ในพุทธศานา ที่ยังมองเห็นความสวยงามอยู่ดูแล้วเข้มขลังมีพลังยิ่ง

   ส่วนด้านข้าง ๆ วิหารหลังนี้  ก็ยังมีศาลของพระเจ้าตากสิน ที่ปลูกไว้ข้างกัน ให้ผู้คนได้มาเที่ยวชมบูชากราบไหว้บูชาขอพรด้วยเช่นกัน

เมื่อเข้าเที่ยวชม วิหารหลังเก่าโบราณ และกราบสักการะศาลพระเจ้าตากสินแล้ว เดินเข้ามาด้ายภายในวัดแล้ว บริเวณต้นไม้ใหญ่ทุกต้นในวัดตลอดจนรอบ ๆทั่วบริเวณวัดแห่งนี้ เต็มไปด้วยค้างคาวขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ค้างคาวแม่ไก่


ค้างคาวแม่ไก่ เป็นค้างคาวขนาดใหญ่ มีขนาดพอกับไก่บ้าน เลยเรียกตามขนาดที่เห็น ชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่ มีอายุหลายชั่วคนมาแล้ว  บอกกล่าวต่อ ๆ กันมาว่า พบค้างคาวพวกนี้มาเนิ่นนานแล้ว เรียกได้ว่าอยู่คู่กับวัดมาแต่เดิมเลย    




ที่ทางเดินเข้าภายในวัดมีป้ายเขียนบอกความเป็นมาของค้างคาวแม่ไก่ของวัดนี้ว่า  ที่ชื่อว่า " ค้างคาวแม่ไก่ " (Flying foxes ) ชื่อว่าวิทยาศาสตร์ ว่า Pteropus vampyrus เป็นค้างคาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 
มีลักษณะหน้าตาคล้ายสุนัขจิ้งจอก จมูกและใบหูเล็ก  ตาโต ขนสีน้ำตาลแกมแดง ปีกเป็นพังผืดบาง ๆ สีดำเชื่อมติดระหว่างนิ้ว มีเล็บแหลมคมสำหรับเกาะกิ่งไม้  บินได้เหมือนนกอย่างแท้จริง โตเต็มที่หนักประมาณ 800 กรัม กางปีกกว้างประมาณ 3 ฟุต ออกลูกคราวละ 1 ตัวเลี้ยงลูก ด้วยนม
กลางวันจะนอนห้อยหัว ลงเกาะกับกิ่งไม้ เวลาพลบค่ำจะออกไปหากิน และจะกลับมาเวลาใกล้สาง   อาหารที่ชอบ ได้แก่ ผลและใบอ่อนของต้นโพธิ์  ไทร มะม่วง มะขาม นุ่น ฝรั่ง โดยจะเคี้ยวกลืนกินแต่น้ำแล้วคาย กากทิ้งและถ่ายมูลเป็นของเหลว
ค้างคาวเหล่านี้ มีความผูกพันกับวัดแห่งนี้มาก จะมาอาศัยอยู่นานเท่าใรไม่มีใครทราบ  มีเรื่องน่าอัศจรรย์เล่าว่า ในปี พศ.2500ทางวัดได้จัดงานฝังลูกนมิตเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ค้างคาวเหล่านี้จะไปอาศัยอยู่ที่อื่น โดยไม่มาสร้างความ เดือดร้อนแก่ผู้มาทำบุญเลย                     
และในปี พศ.2509 พระครูสุตาลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ได้มรณภาพลง ค้างคาวเหล่านี้บางส่วนได้ตกลงมาตาย และส่วนใหญ่จะไม่ออกหากินเป็นเวลาหลายวัน ปรากฎการณ์นี้ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้พบเห็น       


การเดินทางมาเที่ยวชมยังวัดโพธิ์ แห่งนี้ หากเดินทางมาจากตัวจังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้ถนนหลวงหมายเลข 304 ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี กว่า 15 กม . แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกบางคล้า เพื่อเข้าตัวอำเภอ อีก 6 กม.
เมื่อเข้าสู่ตัวอำเภอบางคล้า จะพบอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ที่กลางแยกแล้วเลี้ยวซ้ายผ่าน ตรงเข้ามา แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เพื่อมายังที่หมายเกือบ 800 เมตร ก็จะพบวัดอยู่ด้านขวามือติดกับแม่น้ำบางปะกง 
สิ่งสำคัญหลายอย่างภายในวัด ก็จะมีวิหารพระนอน สร้างมาแต่พระเจ้าตากสิน และศาลของท่านอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังมี ศลาขนาดกลางหลังย่อม ตั้งอยู่กลางวัด  มีพระพุทธรูปหลายขนาด โดยเฉพาะพระปางทุกรกิริยา หรือหลวงพ่อผอม                       
เมื่อเดินต่อมายังริมแม่น้ำบางปะกง  ผ่านที่พักกุฎีหลวงพ่อเจ้าอาวาส ก็ยังมีรูปปั้นพญานาคราช และพ่อปู่ฤาษีโดยทำเป็นอ่างขนาดใหญ่ มีปลาหลากหลายชนิดเวียนว่ายภายในบ่อนั้น

ที่ริมคลองตะลิ่งกั้นแม่น้ำบางปะกง นั้นยังมีศาลขนาดเล็ก ๆ  เป็นที่ตั้งองค์พระพิฆเณศ ซึ่งสร้างหันหน้าลงสู่แม่น้ำบางปะกง อันเงียบสงบ ร่มเย็นสวยงาม  ใครที่ต้องการมากราบขอพร  ก็ลองมาเที่ยวชมกันดู                                       
@@@@@@@@@