10 เม.ย. 2561

องค์เจ็ก องค์จอม พระคู่เมืองเสียมเรียบ


วิหารองค์เจก องค์จอม

        พระคู่บ้าน คู่เมือง 

 ที่เคารพนับถือของชาวเขมร

โดย. ณ  วงเดือน 


    ผมเขียนบันทึกเรื่องราวในสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ไปท่องเที่ยวพบเจอมา แล้วบันทึกไว้ให้เป็นความทรงจำให้คงอยู่ตลอดไป เพราะโอกาศที่จะได้กลับไปอีกยังที่แห่งนั้นจะน้อยมาก จึงได้ทำการบันทึกไว้     

           ในตัวเมืองเสียมเรียบนี้ เป็นเมืองที่สมัยโบราณกองทัพของสยาม คือไทยสมัยนี้ ได้ยกทัพมาทำศึกที่นี่ และทำการฆ่าและทำลายจนที่แห่งนี้ ราบเรียบ จึงเป็นที่มาของชื่อเมือง จากกองทัพสยามยกมาตีว่าเมือง เสียมเรียบ หรือ ที่มาจากคำว่า สยามมาทำลายจนราบเรียบ นั้นเอง
              องค์เจก องค์จอม เป็นเทวรูปเพศหญิง คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันโดยองค์ใหญ่คือองค์เจก ส่วนองค์เล็กเป็นองค์จอม เทวรูปทั้งสองเขาได้ตั้งสันนิษฐานว่าสร้างมาจากทองแดง ที่มีน้ำหนักประมาณ ๑๕๐ กิโลกรัม แล้วนำเอาไปตั้งไว้บูชาที่อาศรมที่สวยแล้วกว้างใหญ่ด้วย อ้างตามคำเล่าขานตำนานต่อๆกันมาเกี่ยวกับองค์เจกองค์จอมว่า อดีตกาลรูปปั้นทั้งสองนี้คือเป็นรูปของธิดา(ลูก)สองพระองค์ของกษัตริย์สมัยนครวัด แต่ก็มีหลากหลายความเห็นและข้อเล่าขานกัน
มาบางก็ว่าเป็นพระนางชัยราชเทวี และอินทรเทวีที่เป็นพระมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ 

ต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่สนใจและเคารพบูชาองค์เจก องค์จอมเพราะราษฎรในสมัยนั้นและหลังจากนั้นมาหน่อยให้ความสำคัญกับการทำงานที่สุจริตหรือการประกอบอาชีพสุจริต อ่อนน้อม ถ่อมตน และประกอบด้วยความเมตตา ของพระนางทั้งสองพระองค์และทั้งสองพระองค์ยังเป็นตัวอย่างในการนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดในสมัยนั้นอีกด้วยและยังเล่าขานกันต่อมาเรื่อยๆจนถึงสมัยพระเจ้าจันทรราชาขึ้นครองราชย์ในสตวรรษที่ ๑๖ พระองค์ทรงอนุญาตให้สร้างรูปปั้นของพระองค์เจกองค์จอม เพื่อให้ประชาชนเคารพบูชา 
               
เพราะรูปปั้นของพระนางทั้งสองพระองค์จึงทำให้ราษฎรทั้งพระนครมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายร่มเย็น ประชาชนเลยเคารพบูชาและถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และมีชืื่อเสียงเรียงนามมากที่สุดในประเทศต่อมา หลังจากรูปปั่นทั้งสองดังกระฉ่อนไปไกลจนดังไปถึงผู้ที่มีอำนาจกับผู้ค้าขายทุจริตอื่นๆ ซึ่งพวกเขาได้เริ่มแผนการวางแผนที่จะขโมยรูปปั้นสำหรับเอามาครอบและประกอบการขายเขาเชื่อกันว่าถ้าได้มาครอบครองจะทำให้ทำมาหากินร่ำรวย เพราะฉะนั้นองค์เจกองค์จอมถึงได้หายไปในระยะหนึ่งช่วงที่เขมรทิ้งเมืองพระนคร หลังจากนั้นรูปปั้นก็ถูกเขาค้นพบอีกครั้งในปี ค.ศ.๑๙๕๐ ในป่าสวนของปราสาทบายยันต์(อ็องโกธม) โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่อนุรักษ์จังหวัดเสียมเรียบ(เสียมราฐ) และได้เอาไปตั้งบูชาที่ปราสาทนครวัด
ด้านข้างองค์เจก องค์จอม จะมีศาลายายเทพตั้งกลางถนน เชื่อว่าบูชาขอให้ค้าขายเจริญรุ่งเรืองนักแล  
             โดยที่ตั้งของศาลายายเทพ จะตั้งอยู่ตรงกลางถนนพอดี ซึ่งรถราที่วิ่งผ่านจะต้องวิ่งวน ที่ตั้งศาลแห่งนี้และมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เบื้องหลังของศาลยายเทพแห่งนี้นั้นเองผมได้เดินลงมาสำรวจ และได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกจากนั้นจึงได้สำรวจในพื้นที่บริเวณในที่นั้นพบว่า ชาวเขมร ส่วนใหญ่ที่นับถือก็จะมาขอพรให้ทำมาหาค้าขายดี และเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง   จึงได้บันทึกเรื่องราวดังกล่าวไว้เป็นบทความ และได้ระลึกนึกถึงว่าครั้งหนึ่งเคยมาเยือนแล้วยังที่แห่งนี้..

 

                                 @@@@@@@@@@

ปราสาทนครธม เมืองหลวงสุดท้ายของขอมโบราณ กัมพูชา

ปราสาทนครทมเมืองหลวงขอม  แห่งสุดท้าย

                       ....โดย. ณ วงเดือน


เป็นที่ทราบกันดีว่า อาณาจักรสมัยขอมโบราณนั้นยิ่งใหญ่มีอาณาเขตแผ่ไพศาลไปทั่วแคว้น

         นครธม  (เขมรអង្គរធំ)   เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรก ๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่น ๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ

จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่น ๆ อีก 3 ด้าน


    ปราสาทนครธม  (Angkor Thom) นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขอม มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของนครวัด จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้าเทวพักตร์ 4 ด้าน ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่ 2 สะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมันเรียกว่า“ปราสาทบายน”
ปราสาทบายน (Bayon)  ปราสาทบายนประกอบด้วยองค์ปราสาทตั้งอยู่บนฐานซ้อนสามชั้น สมมุติให้เป็นทิพยสถานของเทพเจ้าบนยอดเขาพระสุเมร ด้วยปรางค์จัตุรมุข สลักป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มี 216 หน้า รวม 54 ปรางศ์  หันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข รอยยิ้มบนพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรร เรียกว่า "ยิ้มแบบบายน
   นี่คือข้อมูลบางอย่างบางตอน ที่ได้บันทึกถึงความเป็นมาของปราสาทนครทม  ซึ่งทงผู้เขียน ได้มีโอกาศไปเยี่ยมเยียนเที่ยวชมความงามอย่างยิ่งใหญ่   ตั้งแต่ประตูทางเข้าและกำแพงของพระนครที่มีความยิ่งใหญ่ตระการตามา
มีคูน้ำขนาดใหญ่รอบรอบพระนคร   การจะเข้าไปยังปราสาทนี้ จะต้องผ่านยังสะพานทั้ง 4 ด้าน ซึ่งวันนั้น ทางคนนำพา ชาวเขมร พามายังด้านสะพานเข้าที่ยังอยู่ในสภาพดีกว่า ทั้ง 3 ด้าน
     โดยเราลงจากรถสามล้อ เดินเที่ยวชมยัง สะพานข้ามมายังฝั่งของนคร  ซึ่งสองข้างสะพานนั้นจะทำเป็น ฝ่ายมาร
และฝ่ายยักษ์ ชักขะเย่อซึ่งพญานาคราช ในตำนานพระอินทร์กวนสมุทร มีเทวดาและยักษ์มร่วมงานกวนน้ำทิพย์ในครั้งน้น  โดยถือเอาศุนญ์กลางตัวปราสาท สมมติว่าเป็นเขาพระสุเมรุ  โดยรูปปั้นทั้งฝั่งยักษ์และเทวดา นั้นก็ถือว่ายังอยู่ในสภาพที่ยังไม่ชำรุดเท่าไร   แต่ลำตัวของพญานาาคนั้น ขาดหลุดหล่นแตกหักไปตลอดทั้งสองฝั้ง ซึ่งเมือนับย้อนไปแล้วมีอายุกว่าหลายพันปีเลยทีเดียว ยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์เท่าที่เห็นตามสภาพอยู่ถึง 60 เปอเซนต์เลยทีเดียว
    เมื่อเราเข้าไปสู่ยังด้านในตัวปราสาทนั้นเรายังจะต้องใช้เวลาเดินทางเข้ามาอีกเป็นระยะทาง 3 ถึง 5 กม.เลยทีเดียว ถือว่าปราสาทนครทมแห่งนี้  มีพื้นที่ใหญ่โตมากกินพื้นที่หลายพันไร่เลยทีเดยว  เมื่อเรามาถึงด้านใน  ตรงกลางจะเป็นที่ตั้งตัวปราสาทหิน ที่มีรูปใบหน้า คล้ายพระพรหม หรือพระโพธิสัตว์ซึ่งต่างมองต่างกันออกไป ซึ่งมีการนำหินตัดเป็นก้อนวางเรียงทับซ้อนกันป็นระเบียบสวยงามมาก  
       มาอีกด้านซ้ายเหนือขึ้นมาของปราสาทนครทม จะเป็นลานช้างของพระเจ้าขี้เรือน ซึ่งตามเขาเล่ามาว่า และได้นำข้อมูลบางตอนมาจากเวป เกร็ดประวัติศาสตร์ จึงขอคัดลอกมา ลงไว้หน้าบันทึกท่องเที่ยวนี้ไว้ด้วยเป็นข้อมูลประดับความรู้ด้วยถึงความเป็นมาของลานช้างพระเจ้าขี้เรือนแห่งนี้ ดังนี้

           ที่ลานช้างแห่งนี้สร้างขึ้นมาเมื่อสมัยศตวรรษที่
12 มีภาพสลักนูนต่ำมากมาย โดยเฉพาะรูปตุ๊กตาหินที่วางอยู่เรียงรายเป็นแถวนั้น เล่ากันว่า เป็นที่มาของชื่อลานแห่งนี้ และเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีใครกล้าแตะแม้แต่นิดเดียว

ตุ๊กตาเหล่านั้น เชื่อกันว่า เป็นตัวแทนแหง่ความวิบัติ ความเลวร้ายที่ได้บังเกิดขึ้นมาจากการสาปแช่งของพระฤาษีที่เล่ากันว่า เป็นแรงอาฆาตพยาบาทที่ตามจองเวรจนอาณาจักรแห่งนี้ล่มสลายในที่สุด
ย้อนหลังกลับไปใน สมัยที่เริ่มสร้างพระนครนั้น ตำนานของขอมโบราณเล่าถึงอุบัติกาลของปฐมกษัตริย์แผ่นดินตนว่า บรรพกษัตริย์ของตนนั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากดอกบัว และต่อมากษัตริย์เกตุมาลาได้นำไปเลี้ยงไว้ และให้ชื่อว่า “ พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์” ทรงครองเมือง “อินทรปัตถมนคร”
ต่อมาพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้นางกษัตริย์ลูกสาวพญานาคเป็นพระมเหสี พญานาคจึงมาสร้างเมืองให้พำนักอาศัย เรียกว่า “นครธม” จนเมื่อพระเจ้าเกตุมาลาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ จึงอุทิศเมืองนี้ให้เป็นวัด และนับแต่นั้นมา นาม “นครธม” ก็เปลี่ยนไป กลายเป็น “นครวัด” มาจนถึงทุกวันนี้
ในความรำลึกถึงบุญคุณอันยิ่งใหญ่และชาวเขมรทั่วไปเชื่อว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากพญานาค ดังนั้น พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์จึงต้องจัดส่งเครื่องบรรณาการไปถวายแด่พญานาคทุกปี และหัวเมืองต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นของขอมโบราณก็จำต้องส่งเครื่องบรรณาการมาถวายเมืองอินทรปัตถมนคร เช่นกัน
เมืองสุโขทัยนั้นส่งส่วยน้ำมาสู่เมืองเขมรทุกปี ในขณะที่เมืองตลุงส่งผ้าไหม และเมืองละโว้ส่งส่วยปลาแห้งมาให้ เป็นเช่นนี้สืบต่อกันมาแน่นอนว่า เรื่องพระร่วงเจ้าส่งส่วยน้ำให้ขอมก็เกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน หากแต่พระร่วงเจ้าพระองค์นั้น หาใช่พ่อขุนรามคำแหงอย่างที่ใครเข้าใจไม่ เพราะเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมา ก่อนหน้ายุคพ่อขุนรามเกือบสองร้อยปีทีเดียว
ความตามตำนานของเขมรนั้นเล่าว่า หลังจากที่พระร่วงสาปแช่งให้พระยาเดโชที่ดำดินไปจับพระองค์จนกลายเป็นหินอยู่ในลานวัดมหาธาตุจนเป็นที่กล่าวขานกันนั้น ในเวลาต่อมาหลังจากที่เจ้าเมืองสุโขทัยได้ถึงแก่พิราลัย ผู้คนทั่วไปจึงยกพระองค์ขึ้นครองเมืองครานั้นพระร่วงเจ้ายกกองทัพเข้าสู่นครธมเพื่อปราบขอมให้อยู่ภายใต้อำนาจของสุโขทัย หากแต่ไม่สามารถที่จะเอาชนะและเข้าเมืองได้ พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์จึงทรงให้เปิดประตูเมืองออกมา เพื่อประจันหน้ากัน พระร่วงตกใจในพระบรมเดชานุภาพจึงก้มลงกราบไหว้
ดินแดนที่กองทัพสยามพ่ายในครั้งนี้ จึงมีนามเรียกกันต่อมาว่า “เสียมราบ” หรือ “เสียม
เรียบ” นับแต่นั้น
แต่หลังจากที่สิ้นสมัยของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ เจ้าเมืองเขมรพระองค์ใหม่ คือพระยาพาล ขึ้นครองราชย์สืบแทน และไม่ยอมรับนับถือพญานาคผู้เป็นต้นวงศ์แห่งเขมรทั้งปวง ดังนั้นจึงได้ทำสงครามสู้รบกับพญานาคขึ้นมา ปรากฏว่าพระเจ้ากรุงพาล หรือพระยาพาลจับตัวพญานาคได้ และใช้ดาบตัดหัวนาคทิ้งทันที
เรื่องราวของลานพระเจ้าขี้เรื้อนจึงเกิดขึ้นที่ตรงนี้....
เพราะทันทีที่เลือดนาคกระเด็นออกมากระทบพระวรกายของพระเจ้ากรุงพาลเข้า เลือดนาคที่มีพิษก็สำแดงฤทธิ์ กัดกร่อนร่างกาย ทำให้กลายเป็นโรคเรื้อนลุกลามไปทั้งตัว
แล้วโรคเรื้อนนั้น ว่ากันว่าก่อนหน้านี้หายง่ายเสียที่ไหน ร้อยทั้งร้อย รักษาให้ตาย ก็ไม่สามารถที่จะกลับกลายมาเหมือนเดิมได้อีก ดังนั้น เมื่อกษัตริย์มาเป็นโรคเรื้อนเสียเอง พระเจ้ากรุงพาลก็เกิดความอับอายให้ทหารป่าวประกาศไปว่าถ้าใครรักษาพระองค์หายก็จะยกเมืองให้ปกครองครึ่งหนึ่ง
ในยามนั้นมีฤาษีองค์หนึ่งซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ในกรุงอินทรปัตถมนครได้เดินทางมาช่วยรักษาให้กับพระองค์ด้วยจิตใจที่เมตตา หากแต่ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นคนสันดานพาลหยาบช้าหรือว่าอย่างไร กลับทำให้พระเจ้ากรุงพาลเกรงว่าถ้าหากฤาษีรักษาตนเองหายขึ้นมาก็จะต้องเสียเมืองไปครึ่งหนึ่ง


อย่าว่าแต่กระนั้นเลย จำต้องฆ่าฤาษีทิ้งไป แล้วเอาตัวยาที่ฤาษีให้มารักษาเองดีกว่า เรียกว่าไม่ต้องสูญเสียอะไร ว่าแล้วก็สั่งให้ประหารชีวิตฤาษีทิ้งเสียที่ทางใต้พระนครนั่นเอง
หลังจากที่พระเจ้ากรุงพาลรับสั่งให้ประหารชีวิตฤาษีที่มารักษาตนเองทิ้ง ทำให้ฤาษีอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นสหายกันเกิดความเคียดแค้นชิงชังพระยาพาลยิ่งนัก จึงได้สาปแช่งว่าเมืองอินทรปัตถมนครแห่งนี้มีคนพาลหยาบช้าครองเมือง ขออย่าให้ชีวิตรุ่งเรือง เจ้าเมืองคนใดขึ้นครองราชย์ก็อย่าให้ได้อยู่ในความสบายให้พบกับความวิบัติฉิบหายด้วยเวรกรรมที่มีต่อกันหลังจากนั้นอาถรรพณ์จากคำสาปแช่งจึงบังเกิดขึ้นมาในเมืองอินทรปัตถมนคร เมื่อปรากกว่ายารักษาโรคเรื้อนที่ฤาษีเคยให้มานั้น เสื่อมสภาพไม่สามารถรักษาได้ พระเจ้ากรุงพาลจำต้องพาบรรดาพระสนมและพระมเหสีแอบหนีไปรักษาพระองค์อยู่ที่เขาแปดเหลี่ยม หรือเขากุเลน (ลิ้นจี่ ชาวเขมรเรียกภูเขานี้ว่า พนมกุเลน)
แต่ด้วยคำสาปที่บังเกิดจากบาปกรรมที่ก่อขึ้นมา ปรากฏว่าพระเจ้ากรุงพาลไม่สามารถที่จะรักษาตัวเองให้หายได้ ทั้งพระสนมและพระมเหสี ต่างก็ติดโรคร้ายชนิดนี้กันถ้วนหน้า
มีเรื่องเล่าต่อมาว่า ด้วยฤทธิ์จากคำสาปที่เกิดขึ้นมา พระเจ้ากรุงพาลและพีระสนม ชายา ทั้งหลายได้กลายเป็นหินอยู่ที่พนมกุเลนนั่นเอง

อย่างที่กล่าวเอาไว้แต่ต้นแล้วว่า ฤาษีสาปแช่งเอาไว้ว่าอย่าให้กษัตริย์ในภายหลังที่ขึ้นครองเมืองอินทรปัตถมนครนั้นครองสมบัติอยู่นาน ดังนั้นกษัตริย์ในรัชกาลต่อมาส่วนใหญ่จึงมีอำนาจวาสนาครองบัลลังก์ด้วยเวลาอันสั้นแทบทุกคน
จนกระทั่งมาถึงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นมหาราชองค์สุดท้ายของกัมพูชาซึ่งพระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระบิดาที่ทรงขึ้นครองราชย์ในกัมพูชาด้วยระยะเวลาอันสั้นยิ่งนัก
มารดาของพระองค์นั้น สืบเชื้อสายมาจากพระราชวงศ์กัมพูชาที่มาจากต่างแดน ( ชัย ทิตยปุระ) และพระองค์ถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงให้สถาปนานครวัดขึ้นมา เพื่อความเกรียงไกรในแผ่นดิน
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงอุปภิเษกกับเจ้าหญิงชัยเทวี ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และพระองค์ทรงได้เข้าร่วมสงครามในการป้องกันเมืองวิชัยปุระ หรือว่าเมืองบินทินในปัจจุบันจากการรุกรานของอาณาจักรจามปาซึ่งรุ่งเรืองขึ้นมาในสมัยนั้น
ในการจากพรากของพระสวามีทำให้พระนางชัยเทวีโศกศัลย์อาดูรยิ่งนัก ซึ่งพระขนิษฐาของพระนางสลักจารึกเอาไว้ในแผ่นหินที่ฐานพระราชวังหลวงถึงความอาดูรนี้ว่า
ภรรยาต้องอาบน้ำตา โศกสลดเช่นสีดาที่รอคอยพระสวามี ได้แต่สวดวิงวอน ให้พระองค์กลับคืนมาตามพิธีกรรมของพราหมณ์ แต่ในที่สุดพระนางก็ได้พบวิธีฝึกสมาธิตามแบบพุทธศาสนา”
ระหว่างการสู้รบที่ประเทศจามปา พระราชบิดาคือพระเจ้าธรนินทรวรมัน ที่ 2 ได้สิ้นพระชนม์ลง พระญาติคือพระเจ้ายโสวรมัน ที่ 2 เข้ามาแย่งราชสมบัติไปครองหากแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้น ขุนพลผู้ที่เคยยืนอยู่เคียงข้างบัลลังก์ก็เป็นกบฏ ยึดอำนาจ สถาปนาตนเองขึ้นมาครองราชย์นามว่า “ พระเจ้าตรีภูวนาทิตย์” ซึ่งเป็นเจ้าแห่งสามโลก
เมื่อข่าวราชสมบัติของราชวงศ์ถูกขุนพลแย่งไปครอง พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงยกกองทัพกลับคืนมาหมายจะแก้ไข แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เพราะทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว
พระองค์ทรงต้องรอนแรมหลบซ่อนตัวเพื่อส้องสุมผู้คนและกำลังทหารอยู่นานถึง 15 ปี โดยที่ไม่สามารถจะกลับคืนมายังพระนครได้ ซึ่งในระหว่างนั้น พระเจ้าตรีภูวนาทิตย์ คิดที่จะยกพระนางชัยเทวีขึ้นมาเป็นพระชายา หากแต่พระนางไม่ทรงปรารถนา จึงถูกนำมาจองจำเอาไว้ในปราสาทที่ลานพระเจ้าขี้เรื้อนแห่งนี้
พระนางได้แต่ทรงสวดมนต์อ้อนวอน ขอให้พระสวามีได้กลับคืนมาสู่พระนครอย่างจงรักภักดีจนถึงนาทีสุดท้ายแม้ขณะที่สิ้นพระชนม์ไปในปี พ.ศ. 1709 พระนางก็ยังเฝ้ารำพันถึงแต่พระองค์

จนหลังจากนั้นอีก 11 ปี ต่อมา ใน พ.ศ.1720 พวกจามปาจึงได้บุกเข้าโจมตีกัมพูชาและจับเอา พระเจ้าตรีภูวนาทิตย์ สำเร็จโทษเสีย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงได้เห็นเป็นโอกาสที่ดี นำกองทัพเขมรโจมตีกองทัพของจามปาแตกพ่ายไป และได้สถาปนาพระองค์ขึ้นมาเป็นมหาราชองค์ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินกัมพูชา
น่าเสียดายที่ว่า เมื่อถึงสมัยของพระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์นั้น บรรดาราชปุโรหิตย์ที่นับถือศาสนาฮินดูได้ยุยงให้พระองค์ปฏิรปสาสนาเสียใหม่ วัดวาอารม พระพุทธรูปในพุทธศาสนาถูกทำลาย
แม้กระทั่งรูปเคารพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผ้เป็นพระราชบิดาซึ่งทรงสนับสนุนพุทธศาสนามาตลอดก็ยังถูกทำลายจนทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ผู้คนเบื่อหน่ายและเสื่อมศรัทธา ซึ่งพวกชาวเขมรเชื่อกันว่า เวทย์มนต์ คาถาอันศักดิ์ที่คุ้มครองแผ่นดินกัมพูชามาแต่โบราณนั้นถูกทำลายให้เสื่อสมสลายลงไปในรัชสมัยนี้เอง
ดังนั้นเมื่อส้นสมัยของพระองค์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ขึ้นครองราชสืบต่อมา หากแต่ว่า บ้านเมืองล่มสลาย สุดท้ายอาณาจักรกัมโพชที่รุ่งเรืองมากว่าหนึ่งพันปีจึงถึงกาลอวสานในสมัยนั้น ซึ่งชาวกัมพูชาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ต่างก็เชื่อกันว่า สืบเนื่องมาจากอาถรรพณ์ของลานพระเจ้าขี้เรื้อนแห่งนี้นั่นเอง.

       

@@@@@@@@@@@@@

หลวงพ่อเขียว วัดหัวคู้ เส้นทางเดินทัพพระเจ้าตาก จ.สมุทรปราการ

หลวงพ่อเขียว  สุโขพุทโธภควา

วัดหัวคู้วราราม  ต.ศรีษะจรเข้ อ.บางเสาธง

จ.สมุทรปราการ

    จากซอยสุวรรณ 5 อ่อนนุช แขวงและเขตลาดกระบัง  เข้ามาตามทาง ระยะประมาณ 3 กม.  ที่นี่จะเป็นที่ตั้งของวัดหัวคู้ ซึ่งมีพระพุทธรูป ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า หลวงพ่อเขียว สุโขพุทโธภควา มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 23 ไร่ 1 งาน 56 ตรว. ทิศเหนือ ติดกับคลองหัวตะเข้ หนองงูเห่า ทางทิศใต้ติดต่อกับที่เอกชน  ทิศตะวันออกติดกับ คลองจรเข้น้อย 
ที่วัดนี้ มีอุโบสถหลังเก่าและใหม่ หลังเก่าสร้างเมื่อปี
 พ.ศ. 2485  ส่วนอุโบสถหลังใหม่  สร้างปี พ.ศ 2536          
เสร็จในปี 2539  มีหลวงพ่อเขียว สุโขพุทโธภควา
หน้าตักกว้าง 9.19 ม. สูง 13 ม.                             

ประวัติวัดหัวคู้วราราม                สร้างเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2409  ไม่ทราบผู้สร้างวัด ชาวบ้านเรียกต่อ ๆ กันมา ว่าวัดคู้ หรือวัดศรีษะคู้

มีรายนามเจ้าอาวาส ที่บันทึกไว้ได้ดังนี้                     

1. พระอาจารย์อยู่                                                           2.พระอาจารย์ยัง                                                             3.พระอธิการฉุย                                                               ปี พ.ศ. 2409-2444                                                      

 4. พระอธิการแตงโม
       พ.ศ.  2445-2464
5. พระอธิการพลอย
      พ.ศ. 2465-2485
6.พระอธิการอ่อน
    พ.ศ. 2485-2493
7. พระอธิการทิม
   พ.ศ.2493-2520
8.พระอธิการทอง
    พ.ศ.2520-2539
9.พระครูไพศาลพัฒน์โสภณ
  พ.ศ.2539-
10.พระครูบวรพัฒนโกศล
ปัจจุบันมีหลวงพ่อเจ้าคุณพระปริยัติวงศาจารย์ 
( ประชุม ปวโร ) เจ้าคณะตำบลศรีษะจรเข้ใหญ่ และเป็นเจ้าอาวาสวัดหัวคู้ องค์ปัจจุบัน

   มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ยุคสงครามพม่ารบไทย ครั้งเสียกรุงเสียอยุธยา 

พระเจ้าตากสิน พร้อมไพร่พลเดินทัพผ่านมาทางนี้  และแวะพักที่บริเวณตั้งวัดหัวคู้แห่งนี้  พระองค์ทรงเห็นว่า เป็นที่ทำเลเหมาะที่จะพักทัพเพราะมีแม่น้ำลำคลองล้อมรอบ ยากที่ข้าศึกจะเข้าตีได้ง่าย จึงได้พักทัพที่ตรงนั้น และได้สะสมเสบียงอาหารและรวบรวมไพร่พลมากขึ้น เมื่อเห็นแก่เวลาสมควรแล้ว จึงได้เดินทัพต่อไปเพื่อไปยังจันทบุรี
และพระองค์เห็นว่า ที่พักทัพนี้ต่อไปภาคหน้า ที่แห่งนี้ จะมีคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ และตั้งจิตอธิษฐานให้สถานที่แห่งนี้เป็นวัดในอานคต จึงได้มอบพระพุทธรูปโลหะมีค่า และได้สร้างที่ครอบองค์พระไว้ ให้โปรดทหารชื่อเขียว เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินที่ฝังไว้ในที่ดังกล่าวนี้
             มาดูประวัติหลวงพ่อเขียวองค์เดิมและองค์ปัจจุบันนี้  ตามข้อมูลของทางวัดหัวคู้ ที่ได้แจกเป็นแผ่นพับให้ข้อมูลดังนี้ ว่า พระพุทธรูปปูนปั้นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และปูนปั้นสมัยกรุงธนบุรี
   ตามประวัติเดิมจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ เล่าสืบต่อกันมาว่า วัดหัวคู้ นี้เริ่มต้นจาก สมัยที่พระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จตีฝ่ากองทัพพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยาออกมา ตอนใกล้จะเสียกรุงครั้งที่ 2 นั้น พระองค์ได้ฝ่า วงล้อมของพม่า มาทางทิศตะวันออก มุ่งไปทางชลบุรี และได้มาพักหนีทัพพม่าที่ชัยภูมิแห่งหนึ่ง  เป็นทำเลที่มีคูน้ำ ล้อมรอบ 2 ทาง ที่ชาวบ้านเรียกว่า คุ้งน้ำ คือเป็นจุดที่อยู่ระหว่าง คลองหัวตะเข้ มาเชื่อมกับคลองหนองงูเห่า พระองค์ได้มาพักทัพที่นี่  มีความรู้สึกปลอดภัยและสงบ  ไม่มีทหารพม่ารบกวนใจในขณะนั้น
พระองค์จึงได้อธิษฐาน ว่าที่นี่ต่อไปจะเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง

      พระองค์จึงได้นำพระพุทธรูปและสมบัติจากรุงศรีอยุธยา ที่รวบรวมนำติดตัวมา ( คาดว่าเป็นพระชัยหลังช้างทองคำ ) ฝังไว้ที่วัดหัวคู้แห่งนี้ และได้ก่ออิฐถือปูน เป็นแท่นสัญญลักษณ์ทับไว้ก่อน  ต่อมาได้มีนายทัพเสียชีวิตลงไปอีก พระองค์จึงได้สร้างพระเจดีย์ทับที่ฝังศพนายทัพไว้ในปัจจุบันนี้ พบว่ามีฐานพระเจดีย์อยู่ และมีชาวบ้านบางคนได้ลักลอบขุดได้ง้าว และดาบอันเป็นอาวุธประจำตัวของแม่ทัพคนนั้นไปด้วย    ในเวลาต่อมาทหารแม่ทัพนายกองของพระองค์ และชาวบ้านในบริเวณนั้น
       ได้มาทำการก่อสร้างบริเวณแท่นที่ทับสมบัตินั้นให้เป็น พระพุทธรูปปูนปั้นหน้าตักประมาณ 6 เมตร  โดยก่ออิฐถือปูนธรรมดา  คิดว่าคงจะเป็นเพราะบ้านเมืองกำลังกู้ชาติ อยู่คงไม่มีเวลาทำมากนัก   มีหลักฐานชิ้นส่วน หลวงพ่อเขียวองค์เดิม คือเม็ดพระศกที่ทำมาจากปูนโขลก คือปูนเปลือกหอยผสมน้ำอ้อย ที่ยังเก็บไว้ว่ามีอายุ ตั้งแต่ 200 ปี ขึ้นไป เม็ดพระศกมีขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ และได้มีการก่อสร้าง เพิงไม้คลุมองค์พระไว้เท่านั้น
    ต่อมาในสมัย พระอุปัชชาย์ พลอย ประมาณปี พ.ศ.2480  ได้มีการเลื่อนองค์หลวงพ่อเขียวออกไป เพื่อที่จะสร้างอุโบสถหลังปัจจุบัน ( หลังเล็ก ) ทำให้หลวงพ่อเขียวพังทลายลง และชาวบ้านในสมัยนั้นได้พบสมบัติที่ฝังไว้ใต้ฐานของหลวงพ่อเขียวหลายอย่างเช่น พระบูชาทองคำ  หน้าตัก 3 นิ้ว พระเครื่อง เครื่องประดับต่าง ๆ ( ปัจจุบันตกอยู่กับชาวบ้านใกล้เคียงบางคน ) แต่ก็ได้มีปาฎิหาริย์เกิดขึ้น คือสมบัติอื่น ๆ ส่วนใหญ่ ได้เลื่อนไหลลงไปใต้ดิน มีเสียงดังครืดคราด เกิดเป็นหลุมขนาดลึก ที่ว่าไม้รวก 1 ลำ แหย่ลงไปไม่สุด และบางท่านก็ว่าเกิดไฟไหม้ ลุกท่วมหลุมนั้นอยู่หลายวัน
       จนถึงปัจจุบันนี้ องค์หลวงพ่อเขียวองค์เดิม ที่คาดว่า เป็นพระชัยหลังช้างทองคำ ของพระเจ้าตากสินมหาราช ยังไม่ได้เสด็จขึ้นมาจากใต้ดิน  ให้ประชาชนทั่วไปได้สักการะบูชาอีกเลย (บางท่านก็ว่า พระที่จมลงไปใต้ดินมี 3 องค์ หน้าตักประมาณศอกเศษ )  และชิ้นส่วนของหลวงพ่อเขียว ปูนปั้นนั้นได้ถูกทำลายลงหมด ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงทำให้เจ้าอาวาสสมัยนั้น ได้ทุบองค์องค์พระและไปเกลี่ยทำพื้นถนน ตั้งแต่หน้าโบสถ์ ไปจนถึงศาลาท่าน้ำ คลองหัวตะเข้ ทั้งหมดจึงทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ได้เงียบหายไป
       ครั้นถึงวันศุกร์ที่ 18 กพ. 2520  ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4  หลวงพ่อบุญปลูก (พระครูไพสาลพัฒนโสภณ ) ได้ถูกนิมนต์ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วัดหัวคู้แห่งนี้  ท่านได้เดินทางมาทางเรือ ขึ้นที่ท่าน้ำคลองหัวตะเข้  ขณะที่เดินไปทางถนนเข้าหน้าอุโบสถหลังเก่า  ท่านมีความรู้สึกว่า เดินไม่ได้ ขาสั่นอ่อนแรง ก้าวขาไม่ออก ท่านจึงจึงเดินลงพื้นดินก็เดินได้เป็นปกติ  ท่านพยายามอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นก็มีผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนจำได้ดี

    หลวงพ่อบุญปลูก จึงตัดสินใจรื้อขุดถนนหน้าอุโบสถ ตลอดไปจนถึงท่าน้ำก้พบเป็นหน้าอัศจรรย์ว่า ชิ้นส่วน ปูนปั้น หลวงพ่อเขียวสมัยกรุงธนบุรี นั้น ทั้งหมดได้ถุกฝังอยู่ใต้ถนน  เป็นที่น่าสังเวชใจต่อผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก  และต่อมาได้มีการรื้อศาลาการเปรียญหลังเก่าก้พบชิ้นส่วนหลวงพ่อเขียว องค์เดิมที่ใต้บันไดทางขึ้นอีก  ต่อมา อีก 2 เดือน หลวงพ่อบุญปลูกได้มีกำลังใจมากขึ้น จึงทำการก่อสร้าง หลวงพ่อเขียวขึ้นใหม่ให้มีขนาดเท่าองค์เดิม
    และได้มีพระนามใหม่ว่า หลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา และได้บรรจุ ชิ้นส่วนปูนปั้นของหลวงพ่อเขียวองค์เดิม ไว้ทั้งหมด พร้อมกับพระเครื่องบางพิมพ์ที่พบตอนหลวงพ่อเขียวพังลงมา (น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ) จะยังคงเหลือเพียงแต่เม้ดพระศกบางส่วน ที่นำมาแสดงไว้ให้ทราบถึงอายุของหลวงพ่อเขียวองค์เดิมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้าตากสินมหาราชวีระกษัตริย์ ของชาวไทยอย่างไร
    ด้วยบารมีและกำลังใจจากหลวงพ่อเขียวสุโขพุทโธภควา วัดหัวคู้ได้พัฒนาขึ้นมาจากวัดเดิม ซึ่งทรุดโทรมจนกระทั่งในปัจจุบันนี้  มีการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ พระมหาเจดีย์ ศาลาการเปรียญ พร้อมกันกับอบรมอย่างเข้มงวดในวัตรปฎิบัติให้งามถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
    หลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือชิ้นส่วนพระศกของหลวงพ่อเขียวองค์เดิม มีขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ และฐานพระเจดีย์เก่าซึ่งยังไม่ได้มีการขุดแต่งและบุรณะ ขอชมได้ทุกวันที่กุฎีเจ้าอาวาส และมีหลักฐานบางอย่าง จากกรมการศาสนามีชื่อปรากฏว่าหลวงพ่อเขียว และวัดหัวคู้ มีมาแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
   ในอดีตที่ผ่านมา บางครั้งในเวลากลางคืน   จะมีชาวบ้านบางคนเห็นแสงพุ่งออกมาจากวิหารหลวงพ่อเขียว เสมอ และบางครั้งจะเห็นพระเจ้าตากสินมหาราช แต่งเครื่องทรงพระมหากษัตริย์เต็มพระองค์ออกเดินไปในบริเวณวัด   และในวัดหัวคู้ก็ได้มีการสร้าง รูปเหมือนองค์พระเจ้าตากสินมหาราชไว้ให้ประชาชนกราบสักการะบูชาพระคุณด้วย นี่เป็นส่วนหนึ่งบางตอน  ที่ได้บันทึกไว้ เมื่อ 1 ธค.2536  จากคำบอกเล่าของ พระครูไพศาลพัฒนโสภณ พระอาจารย์ วน ชิตมาโร คุณตานิ่มเผือก แสงทิพย์ อายุ 90 ปี   คุณยายมาลี ชูอำไพ ท่านผู้ใหญ่โพธิ์ ศรีเกตุ

(หมายเหตุเรื่องนี้ ของพระนามหลวงพ่อเขียวสุโขภควา )
  มาจากเหตุดังนี้
1.พระนามเดิมของพระองค์ คือหลวงพ่อเขียว เนื่องจากตอนนั้นมีนายกองเสียชีวิตลงมีชื่อว่า เขียว
2.องค์พระเดิมเป็นปูนปั้น ตะไคร้น้ำจับมากทำให้แลดูลักษณะ เหมือนสีเขียว หุ้มองค์พระ
3.ศิลปะพระพักตร์ ที่ปั้นองค์ใหม่ พ.ศ.2520 เป็นแบบสุโขทัย อก เป็นแบบเชียงแสน หน้าตักแบบรัตนโกสินทร์
4.พุทโธ เป็นนามพรพุทธเจ้า แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ภควา แปลว่า ผู้มีโชค

 นี่คือคาถาบูชา หลวงพ่อเขียว สุโขพุทโธ ภควา  ตั้ง นโม 3 จบ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ แล้วกล่าวคำ ว่า พุทโธภควา 3 ครั้งแล้วอธิษฐานขอในสิ่งที่พึงปรารถนา ในทางสุจริต
   บันทึกเที่ยวในความทรงจำ  จึงได้บันทึกเรืองราวความเป็นมานี้ไว้ ให้อยู่ในความทรงจำของผู้เขียน และเป็นข้อมูลได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ไว้ตลอดไป..
                                                                  ณ  วงเดือน..


พระราหู วัดศรีษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม



วัดพระราหู

วัดศีรษะทอง ตั้งอยู่ที่

  อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

โดย. ณ วงเดือน

   เป็นที่ทราบกันดีว่า หากใครรู้สึกมีความไม่สบายใจ รู้สึกการทำงานติด ๆ ขัด ๆ ไม่ราบรื่นในการทำมาหากิน รู้ตัวเองว่าดวงชะตา ราศรีตก ก็มักหาที่พึ่งทางใจให้แก่ตนเอง
     ที่นี่เลย ที่ผู้คนมักนึกระลึกถึง การมาแก้ดวงชะตาราศรี ก็คือที่วัดของพระราหู หรือว่าวัดศรีษะทอง เป็นวัดตั้งอยู่ที่ติดถนนเพชรเกษม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม  วัดแห่งนี้  เป็นวัดที่ผู้คนรู้จักว่า มีพระราหูซึ่งเทพเจ้าแห่งการแก้ดวงชะตา ผู้ที่มีดวงตกทำมาหากินไม่ขึ้น ทางผู้เขียนได้มีโอกาศไปเที่ยวเยี่ยมเยียน กราบไหว้ขอพร ที่วัดพระราหู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม อยู่หลายครั้ง จึงได้หาข้อมูล ในเรื่องความเป็นมาของการสร้างพระราหู ขึ้นที่วัดแห่งนี้ เพื่อได้บันทึกถึงเรื่องราวความเป็นมา และได้บันทึกไว้ในความทรงทำและ ได้เป็นข้อมูล ให้คงอยู่อย่างยืนสืบไป
    วัดศรีษะทอง ตั้งอยู่ที่ ต.ศรีษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม   วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัด  ตามที่ได้บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ ของวัดนี้ที่มีเจ้าอาวาส ปรากฏ รูปแรก นั้นคือหลวงพ่อ ไต เป้นชาวลาวเวียงจันทร์ ที่อพยพมาแต่สมัยกวาดต้อนเชลยศึกของไทยในยุคต้นรัตนโกสินทร์ องค์ที่ 2 คือ ตัน  ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อไต เจ้าอาวาสรูปแรก  3.หลวงพ่อลี  4. พระอธิการทอง  5. พระอธิการช้อย 6. หลวงพ่อน้อย คันธโชโต 7. พระอธิการปิ่น ฐานเณสโก 8. พระครูสมุห์ปั่น จิตตเปโม 9.พระอธิการพนม นิมมโล 10.พระครูศรีโรตน์  สุวรรณรักษ์ ท่านมรณภาพเมื่อ 10 มค.2559  ที่ผ่านมา

      มาที่ความเป็นมาเรื่องราวประวัติคร่าว ๆ ของหลวงพ่อน้อย คันธโชโต ที่เป็นผู้บุกเบิกสร้างกะลา ราหูอมจันทร์ ที่โด่งดังจนได้เกิดเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ ในศาลาแปดเหลี่ยมให้ผู้คนได้มากราบไหว้อย่างเนื่องแน่นจนถึงปัจจุบันนี้ว่า ท่านได้สร้างวัตถุมงคล ทั้งวัวธนู และราหูอมจันทร์ จากกะลาตาเดียวจนเป็นเป็นที่เลืองลือไปทั่ว
     จนต่อมากลายเป็นวัดที่มีผู้คนนับถือเรื่อยมาและ มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ สืบต่อเจ้าอาวาสมาหลายยุคสมัย จนมาถึงหลวงพ่อน้อย  คันธโชโต ( นาวารัตน์ )   ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส และได้สร้างชื่อเสียงให้กับวัด จนผู้คนนับถือมีลูกศิษย์ลูกหามาก

    ประวัติคร่าว ๆ ท่านมีนามเดิมว่า  น้อย นาวารัตน์ เกิดเมื่อ 14 กพ. 2435  แรม 13 ค่ำ ปีมะโรง ที่ บ้านศรีษะทอง มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน  ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง  เมื่ออายุครบบวช 21  ปี ได้อุปสมบท ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู  วันที่ 14 เมษายน 2456  ได้ฉายาว่า คันธโชโต  ท่านได้ร่ำเรียนวิชาอาคมต่าง ๆ จากหลวงพ่อไต เช่นวิชาการสร้างวัวธนู และราหูอมจันทร์  หลวงพ่อมีพรรษามากขึ้น มีผู้นับถือกันมาก พอดีกับช่วงที่เจ้าอาวาส วัดศรีษะทอง คือ พระอธิการช้อย ได้ลาสิกขา ไป ญาติโยมจึงได้พากันนิมนต์ท่านมาจำพรรษาและเป็นเจ้าอาวาสต่อมา ได้พัฒนาวัดวาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

      พระเครื่องรางของท่านที่สร้างไว้มีหลายอย่าง ที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ นั้นก้คือ พระราหูอมจันทร์ พระโคสุลาภ หรือว่าวัวธนู และ ราหูอมจันทร์ ของท่านนั้นถือว่าเป็นเครื่องรางอันดับต้น ๆ ที่มีผู้คนแสวงหามาครอบครอง เพื่อไว้ติดตัวในการเสริมดวงชะตาราศรี ที่มีควาทเชื่อว่า ใครดวงตก มีเครื่องรางของท่านพกพาติดตัวไว้ ทำให้ดวงร้าย
กลายเป็นดีได้  ซึ่งท่านจะสร้างราหูอมจันทร์นี้ จากกะลาของมะพร้าวตาเดียว เท่านั้นที่นำมาเป็นวัตถุในการสร้างปัจจุบันยังมีผู้คนที่ยังไปกราบ
ไหว้บูชากันอยู่เนื่องแน่นไม่ได้ขาด..
@@@@@@@@@@@@@@@@


อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ย่าโม อ.เมืองนครราชสีมา

  อนุสาวรีท้าวสุรนารี

ตั้งอยู่ในตัวเมืองโคราช

                  -----------
โดย..ณ  วงเดือน

     ผ่านจังหวัดนคราชสีมามาหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีโอกาศแวะเข้าไปกราบท้าวย่าโม สักที จนมาปีที่แล้วตั้งใจเลยที่จะเข้าไปกราบท่านสักครั้งในชีวิต เพราะมีแค่ผ่านจังหวัดของท่านแต่ไม่เคยเข้าไปกราบสักการะเลยสักครา

            มาครั้งนี้ของปีที่แล้วได้มีความตั้งใจว่าต้องเข้าไปกราบท่านสักครั้งในชีวิต บ่ายห้าโมงเย็นในช่วงฤดูกาลก่อนวันเข้าพรรษา มีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้มากราบไหว้ท่านในครั้งนี้

ไปดูประวัติความเป็นมาของท่านคร่าว ๆ ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า "โม" (แปลว่า ใหญ่มาก) หรือท้าวมะโหโรงเป็นชาวเมืองนครราชสีมาโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีระกา พ.ศ. 2314 มีนิวาสถานอยู่ ณ บ้านตรงกันข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ทางทิศใต้ของเมืองนครราชสีมา เป็นธิดาของนายกิ่มและนางบุญมา มีพี่สาวหนึ่งคนชื่อ แป้นาผล ไม่มีสามี จึงอยู่ด้วยกันจนวายชนม์ มีน้องชายหนึ่งคน ชื่อ จุก (ภายหลังได้เป็นเจ้าเมืองพนมซร็อก ต่อมามีการอพยพชาวเมืองพนมซร็อกมาอยู่ริมคูเมืองนครราชสีมาด้านใต้ จึงเอาชื่อเมืองพนมซร็อกมาตั้งชื่อ บ้านพนมศรก ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็นบ้านสก อยู่หลังสถานีรถไฟชุมทางถนนจิระจนทุกวันนี้) 
เมื่อปี พ.ศ. 2339 โม เมื่ออายุได้ 25 ปี ได้แต่งงานสมรสกับนายทองคำขาว พนักงานกรมการเมืองนครราชสีมา ต่อมานายทองคำขาว ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "พระภักดีสุริยเดช" ตำแหน่งรองปลัดเมืองนครราชสีมา นางโม จึงได้เป็น คุณนายโม และต่อมา "พระภักดีสุริยเดช" ได้เลื่อนเป็น "พระยาสุริยเดช" ตำแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา คุณนายโมจึงได้เป็น คุณหญิงโม ชาวเมืองนครราชสีมาเรียกท่านทั้งสองเป็นสามัญว่า "คุณหญิงโม" และ "พระยาปลัดทองคำ" ท่านเป็นหมันไม่มีทายาทสืบสายโลหิต ชาวเมืองนครราชสีมาทั้งหลายจึงพากันเรียกแทนตัวคุณหญิงโมว่า "แม่" มีผู้มาฝากตัวเป็นลูกหลานกับคุณหญิงโมอยู่มาก ซึ่งเป็นกำลังและอำนาจส่งเสริมคุณหญิงโมให้ทำการใด ๆ ได้สำเร็จเสมอ หนึ่งในลูกหลานคนสำคัญที่มีส่วนร่วมกับคุณหญิงโม เข้ากอบกู้เมืองนครราชสีมาจากกองทัพเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ คือ นางสาวบุญเหลือ
ท้าวสุรนารีเป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม เล่นหมากรุกเก่ง มีความชำนาญในการขี่ช้าง ขี่ม้า มีม้าตัวโปรดสีดำ และมักจะพาลูกหลานไปทำบุญที่วัดสระแก้วเป็นประจำเสมอท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2395 (เดือน 5 ปีชวด จัตวาศก จศ. 1214) สิริรวมอายุได้ 81 ปี


                      ในทุกปี ในช่วงระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะของ ท้าวสุรนารีขึ้นเพื่อรำลึกถึง ความกล้าหาญในวีรกรรมครั้งนั้น โดยมีการบวงสรวงอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี พิธีจุดพลุสี่มุมเมือง ซึ่งมีการเริ่มต้นครั้งแรกในปพ.ศ.2477 นอกจากนี้ในงานยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การออกร้าน จัดนิทรรศการของหน่วยงานราชการและเอกชน รวมทั้งกิจกรรมบันเทิง ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน
นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาโคราช คือต้องลอดซุ้มประตูชุมพลที่อยู่หลังอนุสาวรีย์ เชื่อกันว่าหาลอดประตูนี้ 1 ครั้ง จะได้กลับ มาโคราชอีกในไม่ช้า ถ้าลอด 2 ครั้งจะได้ทำงานหรือมาอยู่ที่โคราช แต่ถ้าลอดถึง 3 ครั้งก็จะได้คู่ครองเป็นคนโคราช  ประตูชุมพล ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมืองนครราชสีมามีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพง มีการสร้าง ประตูเมือง 4 ประตู โดยปัจจุบันคงเหลือแต่ประตูชุมพลทางทิศตะวันตกของเมืองเท่านั้นที่เป็นประตูเดิม ส่วนอีกสามประตูคือ ประตูพลล้านด้านทิศตะวันออก ประตูพลแสนหรือประตูน้ำด้านทิศเหนือ และประตูชัยณรงค์หรือประตูผีด้านทิศใต้ ได้มีการสร้างขึ้น ใหม่แทนประตูเดิมความพิเศษของประตูชุมพล คือ ตรงเหนือช่องประตูจะมีเรือนไม้หลังเล็ก ๆ เป็นเรือนแบบไทยมีหลังคามุง กระเบื้อง ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา เรียกว่า “หอรบ” เอาไว้สำหรับบัญชาการรบ ส่วนของกำแพงที่ต่อไปทั้งสองข้างส่วนบน ทำเป็น รูปใบเสมา ใต้ใบเสมาเจาะช่องเป็นรูปกากบาท เพื่อใช้ลอบดูข้าศึกด้านนอก และมีบันไดขึ้นหอรบ กำแพงเมืองนี้แต่เดิมได้สร้าง ล้อมรอบเมืองโคราชโดย มีคูน้ำคู่ขนานกันไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นปราการอันแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเมืองโคราชจากข้าศึก ศัตรูมาหลายยุคหลายสมัย
    จึงขอบันทึกคัดลอกข้อความบางตอน อันมีประโยชน์ในการ รับรู้เรื่องราวนี้ ในอนุทินเรื่องนี้ด้วย ใน บันทึก         ออนทัวร์ทราเวล  ในครั้งนี้ด้วย..
                                                         ณ  วงเดือน..