5 เม.ย. 2561

หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เจ้าของตำรับปลัดขิกเลื่องชื่อ



   

 หลวงพ่อพระครู วรเวทมุนี หรือที่รู้จักกันหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี

    -------
โดย.. ณ  วงเดือน 

   ในต้นเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา ทางผู้เขียน ณ วงเดือน ได้มีโอกาศได้ไปกราบสักการะ บุรพาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากในอดีต นั้นคือ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ

  ได้ยินเล่าลือ ถึงบารมีของท่านมาเนิ่นนาน ในเรื่องของตำรับเจ้าของปลัดขิก อันเลื่องชื่อว่า ท่านสามารถปลุกเสก ให้ลอยน้ำได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก  จึงนับว่ามีวาสนาเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาศ ได้มาเยือนกราบไหว้ยังถิ่นที่ท่านได้เคย อยู่อาศัยเกื้อกูลอนุเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก  ได้เข้ามาพึ่งบารมีของท่านมาแต่ในสมัยแต่ในอดีต จนถึงทุกวันนี้ ลูกศิษย์ลูกหายังได้พึ่งบารมีของท่านเหมือนดั่งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

        จึงได้ขอบันทึกประวัติของท่าน มาไว้ในหน้าบันทึกแห่งความทรงจำนี้ ที่ได้ไปกราบไหว้บูชาท่่นถึงถิ่นฐาน   ถึงวัดสัตหีบ จึงขอรวบรวมประวัติ ของท่านไว้เป็นบูรพาจารย์ได้ระลึกนึกถึงคุณงามความดี ที่ท่่านได้กระทำไว้ดีแล้ว   มา ณ ที่ ตรงนี้ด้วย   ตามประวัติที่มีผู้บันทึกไว้ว่า  
             ท่านเป็นชาวบ้านสัตหีบ มาแต่กำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 1 ตค.2408  ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู บิดาชื่อ นาย ขำ มารดา นางเอียง นามสกุล ทองขำเมื่อท่านมีอายุ 25 ปี ได้เข้าอุปสมบทที่วัดอ่าง
ศิลานอก 
 มีพระอาจารย์จั่น จันทโส เป็นพระอุปัชชาย์ ได้ฉายาทางพระว่า พุทธสโร  เมื่ออุปสมบทเป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่ออี๋ได้ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์  ของบูรพาจารย์หลายองค์ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อแดง และหลวงพ่อเหมือน ตลอดหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย คลองด่าน จ.สมุทรปราการ
 วัดสัตหีบแห่งนี้ หลวงพ่ออี๋ ได้มาสร้างไว้เมื่อปี พ.ศ. 2442  และได้ครองเป็นเจ้าอาวาส องค์แรกของวัดแห่งนี้ด้วย ท่านมีความเชี่ยวชาญ ด้านเข้ากสิณ ตลอดจนการปฎิบัติด้านวิปัสสนากัมมัฎฐาน
เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ในศีลาจารวัตร ไม่มีด่างพล้อย
ช่วงที่ท่านอุปสมบทใหม่ ๆ ท่านอยู่จำวัดและศึกษาพระธรรมวินัย และไสยเวทย์ด้านต่าง ๆ กับท่านหลวงพ่อแดง  นานถึง 6 พรรษา   จากนั้นได้ออกเดินธุดงค์รอนแรมไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อฝึกจิตและปฎิบัติด้านธุดงค์กัมมัฎฐานให้หลุดพ้นจากกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
   จากนั้นท่านได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิดและได้อยู่สร้างวัดขึ้นมาที่ สัตหีบแห่งนี้  ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี กุฎีเสนาสนะ ต่างๆ เริ่มมีความเจริญรุ่งเรื่องมั่นคงขึ้นกโดยท่าน ได้ออกวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาก ก้คือ ปลัดขิก  รวมทั้งเสื้อยันต์ เหรียญวัตถุมงคล พระปิดตา พระพรหมสี่หน้า ในช่วง สงครามอินโดจีน ปี พ.ศ  2483  ถึง 2486  วัตถุมงคลของหลวงพ่อ มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการของ ทหาร ตำรวจ ทุกเหล่าทัพ ต่างมาแสวงหา เพื่อไว้ติดตัวกันเป็นจำนวนมาก

          เมื่อท่านพัฒนาวัดเจริญรุ่งเรืองแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อให้ความสำคัญอีกเรื่อง นั้นก็คือ การศึกษาของพระเณร  และลูกหลานของชาวบ้าน  ท่านได้หาทุนมาสร้างโรงเรียน ประชาบาล ขึ้นมา 1 หลัง ให้ชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนบ้านสัตหีบ    ในบั้นปลายชีวิตท่านเริ่มอาพาธ ด้วยโรคฝีที่คอ มาตั้งแต่ เดือนมีนาคม 2489  จนโรคเริ่มกำเริบ เพราะท่านไม่ได้เอาใจใส่รักษา ด้วยถือว่า เป็นกรรมเก่าของท่านเอง ท่านยอมชดใช้ให้หมดสิ้นกันในชาตินี้จนมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2489
ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปี จอ ท่านได้ให้ลูกศิษย์ประคองท่านขึ่นนั่ง
สมาธิ แล้วท่านก็นั่งสงบปราศจากลมหายใจเข้าออก เมื่อเวลา 21.05 น.
จากนั้น ข่าวกระจายการมรณภาพของหลวงพ่อก้กระจายไปทั่วทั้งอำเภอสัตหีบอย่างรวดเร็ว   สิริอายุรวมของท่าน ได้ 82 ปี  ทางผู้เขียนจึงขอกราบในคุณงามความดีของหลวงพ่อ ที่ได้สร้างบารมี และได้สร้างวัดวาอารามสวยงามให้คงอยู่เป็นร่มเงา ที่พึ่งพา ของผู้คนที่ได้ตกทุกข์ได้ยากเข้ามาพึ่งบารมีของหลวงพ่อมาตั้แต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันนี้
ในเรื่องเคยได้ยินมาถึงอภินิหาร ด้านวัตถุมงคลต่างๆ ของหลวงพ่อนั้น ที่เป็นที่กล่าวขาน ก็คือ ปลัดขิก  ซึ่งเชื่อกันว่า ป้องกันคุณไสย ปัดป้องเสนียดจัญไร ทั้งหลายทั้งปวง ป้องกันสารพัดเขี้ยวพิษ งา ต่าง ๆ ไม่ให้มากร้ำกรายเราได้
 มีเรื่องเล่าไว้ว่า  มูลเหตุก่อนที่ท่านจะสร้างปลัดขิก ขึ้นมา   ในสมัยที่หลวงพ่อยังถือวัตรเดินธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ มีวันหนึ่ง ท่านได้ปักกลด ยังใต้ต้นไม้แห่งนี้  ใกล้บ่อน้ำ  และมองเห็น ปลัด ที่ดำผุดดำว่าย   ในบ่อน้ำแห่งนั้น ท่านจึงลองใช้มือช้อน เพื่อจับเอาปลัด นั้นขึ้นมา แต่ไม่สามารถจับได้  และในขณะที่ท่านกำลังพยายาม จับอยู่นั้นได้มีชายชรา ผ่านมาเห็นเข้า ก็เลยหัวเราะ ที่ท่านกำลังไล่ช้อนจับปลัด ที่อยู่ในน้ำนั้น
   แล้วบอกกลับหลวงพ่อว่า ท่านไม่ามารถจับได้หรอก  หากท่านอยากได้จริง ๆ จะต้องหาหญิง
สาวพรหมจรรย์ มาช้อนจึงจะช้อนเอามาได้จากนั้น   ท่านได้ให้หาตามหญิงสาวมาตักช้อนปลัดให้ ซึ่งจับได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น เมื่อท่านกลับมา ที่วัด
  หลวงพ่อ ได้พยายามหาวิธีสร้างปลัดจำลองขึ้น มาโดยในการสร้างครั้งแรก จำนวน 108  ตัว  เพื่อคัดเลือก หาตัวจ่าฝูง ของปลัดขิก ที่สร้างขึ้นมา ด้วยการคัดเลือกตัวที่ท่านได้ปลุกเสก ให้กะโดดบินได้ไกล กว่าตัวใหน ๆ จากนั้นจึงนำมาเป็นจ่าฝูง ในคราวทำปลัดขิก เพื่อเป็นเครื่องราง ให้กับญาติโยมในคราวต่อไป   มีครั้งหนึ่ง  หลังที่หลวงพ่อได้ทำการปลุกเสก ปลัดขิกของท่านเสร็จเป็นที่เรียบร้อย  ท่านลองเอามาลองทดสอบ ในบ่อน้ำหน้าวัด
ท่านสั่งให้วิ่งไปบนผิวน้ำ  และดำผุดดำว่าย  ไปมา เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจของพระเณร ญาติโยมในสมัยนั้นที่ได้เห็นเป็นบุญตา   ซึ่งปลัดขิกทุกตัวที่ผ่านการปลุกเสกมา ท่านจะนำเข้าไปในบาตร และเมื่อปลุกเสกแล้วปลัดขิกทุกตัว ต้องกะโดดออกมาจากบาตร ให้ได้ จึงจะถือว่าผ่านพิธีการและใช้ได้ ซึ่งสรรพคุณที่ผู้นำไปกราบไหว้บูชาติดตัว ได้รู้ถึงบารมีพุทธคุณในด้านต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นการป้องกันเขี้ยว งา สัตว์มีพิษต่าง ๆ มีเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ซึ่งวัตถุมงคลของหลวงพ่อนั้น ในปัจจุบันนับว่าหายากมาก ๆ   ซึ่งมีการเช่าหาบูชาก้อยู่ที่หลักหลายสตังคือยู่พอสมควร
       ในการได้ไปเที่ยวชมกราบไหว้ตามรอยของพระอาริยสงฆ์ในครั้งนี้ จึงได้ขอบันทึก ในแง่มุมและประวัติของหลวงพ่อไว้เป็นคร่าว ๆ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดี ของหลวงพ่อให้คงอยู่ ตลอดไป และเป็นความคงจำที่งดงาม ของทางผู้เขียน ที่ได้ไปตามรอย และกราบบูชาคุณ จึงได้บันทึกไว้ให้คงอยู่ยืนยาว ตลอดไป...