12 ต.ค. 2562

วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ไปกราบรอยพุทธบาท
วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

โดย.ณ  วงเดือน

      เป็นบุญมหากุศลมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิต มีโอกาศได้ไปแสวงบุญกราบรอยพระพุทธบาท ที่เก่าแก่สุด อีกแห่งหนึ่งของไทยเรา ที่ยอดเขาสุวรรณบรรพต พร้อมกันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราว ความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ด้วยเพื่อจะได้รับเป็นความรู้สืบไป

  วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ ต.ขุนโขลน ห่างตัวอ.พุทธบาท 1 กม.และ ห่างจากตัว จ.สระบุรี  30 กม.  วัดนี้ตามที่บันทึกไว้ ก่อสร้างเมื่อ ปี พศ.2167 ในสมัยของพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา  ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาว่า พระภิกษุไทย เดินทางไปยังลังกาทวีป เพื่อแสวงบุญไหว้สักการะรอยพระพุทธบาท ยังเขาสุมนกูฎ
                       และได้พบพระสงฆ์ชาวศรีลังกา  ซึ่งกำลังตรวจทานสอบหาที่ตั้งแห่งรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้า ที่ปรากฎไว้ในตำนาน ว่า พระพุทธองค์ ประทับรอยพระบาทไว้ มี 5 แห่ง ในโลกนี้ และ ทราบว่า ประทับรอยพระบาทที่เขาสุวรรณบรรพต  แล้วเมื่อได้เดินทางกลับมา สู่ประเทศไทย จึงนำความขึ้นถวายพระเจ้าทรงธรรม  จากนั้นได้โปรดเกล้าฯ สั่งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ว่ามีรอยพระพุทธบาทยังที่แห่งใดบ้าง
   ในครั้งนั้นเจ้าเมืองสระบุรี ได้รับแจ้งจากพรานป่าว่า ครั้งหนึ่งได้ยิงกวางบาดเจ็บ แล้วหนีขึ้นไปไหล่เขา หลังตามขึ้นไปปรากฎว่า กวางที่บาดเจ็บหายจากบาดแผลถูกยิง วิ่งออกมาจากแนวพุ่มไม้หลังเนินเขานั้นได้อย่างปกติ  ด้วยความที่เห็นเป็นประหลาดจึงได้ตาม ไปยังหลังพุ่มไม้นั้น ปรากฎพบรอย เหมือนเท้าคนยาวกว่าสองศอก ในรอยนั้นมีน้ำขังอยู่ นายพรานนึกในใจว่า กวางที่บาดเจ็บคงหายอาการจากการดื่มน้ำในรอยนี้แน่นอน                         
   จึงได้ลองทำตามด้วยการดื่มน้ำและใช้น้ำ ลูบไล้ไปตามตัวคลายร้อน ปรากฎว่าโรคผิวหนังที่ขึ้นอยู่ตามเนื้อตัวหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ แล้วพรานนั้นจึงมาบอกเจ้าเมืองสระบุรี
   ทางเจ้าเมืองสระบุรีจึงได้แจ้งมายังกรุงศรีอยุธยา  เมื่อพระองค์ทรงทราบข่าวนั้น จึงได้เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตร และทรงเชื่อมั่นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทแน่แท้ เพราะมีลายกงจักร ประกอบด้วย มงคลร้อยแปดประการ  ตรงตามที่พระสงฆ์ชาวลังกาแจ้งมาด้วย ทำให้พระองค์เกิดความปราโมทย์ปิติยินดียิ่ง  จึงให้ช่างได้ก่อสร้างวิหารขนาดเล็กๆ สวมรอยพระพุทธบาทไว้เป็นการชั่วคราว

                  จากนั้นเสด็จกลับ และทรงให้นายช่างจากวังหลวง สร้างมณฑปยอดเดี่ยวสวมรอยพระพุทธบาทนั้น  และได้ทรงสร้างเสนาสนะเป็น วัดขึ้นเพื่อให้ พระเณรชี ผู้มาแสวงบุญได้อยู่พักแรมด้วย นอกจากนี้ยังได้ยกพื้นถิ่นแถบนี้ ให้เป็นเมืองชั้นจัตวา ชื่อเมืองว่า เมืองปรันตปะ  ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา และตั้งชายฉกรรย์ ในถิ่นนั้นตั้งเป็น ท่านขุนโขลน มีหน้าที่ดูแลรักษาองค์พระพุทธบาทอย่างเดียว และ มีชื่อเป็นทางการในพระราชทินนามบรรดาศักดิ์ประจำตำแหน่ง  ผู้รักษาการดูแลรอยพระบาทตามตำแหน่ง คือหัวหน้าผู้ดูแล มีชื่อตามตำแหน่งว่า ขุนสัจจพันธ์คีรีรัตนไพรวัล เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน  รองหัวหน้า เป็นหมื่นสุวรรณปราสาท, หมื่นแผ้วอากาศ, หมื่นชินธาตุ, หมื่นศรีสัปบุรุษ,4คนนี้ผู้มีหน้าที่เฉพาะองค์พระมณฑป เท่านั้น
                              นอกจากนี้ยังตั้ง ผู้ดูแลรักษาทวารบาลประตูทั้ง4ทิศ อีกด้วย คือ หมื่นราชบำนาญทมุนิน, หมื่นอินทรรักษา,หมื่นบูชาเจดีย์,หมื่นศรีพุทธบาล  ,ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการเข้าออก  ของคนทั่วไป  นอกจากนี้ยังสร้างโรงคลังสำหรับเก็บทรัพย์สิน ของผู้ศรัทธา ที่นำมาถวายรอยพระบาทเป็นพุทธบูชาอีกด้วย  มีหน้าที่รักษาสมบัติเหล่านั้น มีรายชื่อนาม คือ ขุนอินทรพิทักษ์,ขุนพรหมรักษา,หมื่นพิทักษ์สมบัติ ,หมื่นพิทักษ์รักษา  นอกจากนี้ยังตั้งโคมยาม คือผู้ทำหน้าที่ประโคมฆ้องกลอง ทั้งกลางวันกลางคืน เป็นพุทธบูชาอีกด้วย มี หมื่นสนั่นไพเราะ,หมื่นเสนาะเวหา,พันเสนาะ, รองเสนาะ, รองลำดับลงมา โดยจัดงานประเพณีประจำปีไหว้รอยพระพุทธบาทในแต่ละปี ดังนี้คือ ขึ้นเดือน3 จัดครั้งแรก และขึ้นเดือน4 อีกครั้ง เป็นประเพณีมาแต่คราวนั้น
                           
                 โดยความเชื่อเก่าแก่มาแต่โบราณกาลว่า หากใครได้มาร่วมสักการะรอยพระพุทธบาทครบ 7 ครั้ง จะได้ไปบังเกิดแดนสวรรค์ จากอานิสงค์การสร้างบุญกุศลในครั้งนี้ ซึ่งที่นี่ ถือว่า ยังมีประเพณีแปลกอีกหนึ่งเดียวของไทย นั้นก็คือวันก่อนเข้าพรรษา ที่นี่จะมีการทำบุญตักบาตรด้วยดอกไม้ ที่ชื่อ ดอกเข้าพรรษา โดยดอกไม้ชนิดนี้ จะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงเดือน 8 ก่อนเข้าพรรษาเท่านั้น
   จึงขอนำบทความดี ๆ เรียบเรียงเรื่องราวของบทความเป็นมาของรอยพระพุทธบาท เพื่อประดับความรู้ และที่มาที่ไป ไว้ที่ Na_wongduen travel note.com ที่นี่เพื่อคงอยู่ตลอดไป..

                                                                 ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น