13 ต.ค. 2562

ราหูเล็งปืน สไนเปอร์ ที่วัดสระเกศ ภูเขาทอง





          

ราหูประทับปืนสไนเปอร์เล็งจะยิงโลก

  โดย.ณ  วงเดือน




               ผมมีโอกาศหลายครั้งได้เข้าไปกราบพระและไหว้ขอพร สิ่งศักดิ์สิทธ์ภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หรือว่า วัดภูเขาทอง  ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่  เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร และเที่ยวชมวิวทิวทัศน์จากข้างบนยอดภูเขาทองลงมาตลอดเที่ยวชมพื้นที่โดยรอบของวัด 



            ซึ่งมีที่ให้เที่ยวชม และสถานที่กราบไหว้ขอพรอยู่หลายแห่ง   มีอีกสถานที่หนึ่งที่เคยเป็นที่ฮือฮา ในสังคมออนไลค์มาแล้ว  จนกระทั่งตกเป็นข่าวทั้ง ทางสื่อ ของ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์มาแล้ว  นั้นก็คือภาพวาดของ ราหูถือปืนสไนเปอร์เล็งมายังโลกของเรา จนเป็นที่รับรู้ของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ  เมื่อภาพวาดดัง เป็นที่รู้จักมากขนาดนี้   ทางผู้เขียนก็เป็นนักท่องเที่ยวและนักเดินทางบันทึกเรื่องราวความทรงจำ ดี ๆ  ก็อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปเที่ยวชมเช่นกัน โดยทราบมาว่าเมื่อเดินทางเข้ามาที่ ภูเขาทองแล้ว   ต้องเดินมาทางด้านซ้ายมือ ของบรรได ที่จะขึ้นภูเขาทอง แต่เราไม่ขึ้น เดินเลาะมาทางซ้ายมือ มาเรื่อย ๆ เกือบ 50  เมตร  ก็จะพบกับ ศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ ซึ่งเป็นที่มีภาพวาดของ ราหู   สไนเปอร์ อันลือลั่นนั้นเอง   
                                       ซึ่งด้านในยังมีพระพุทธมงคลบรมบรรพต หรือหลวงพ่อดวง ดี ให้ได้กราบไหว้ขอพร เพื่อความโชคดี ดวงดีกันด้วย   ด้านในจะยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ต่างแวะเข้ามาเที่ยวเยี่ยมชมไม่ขาดในแต่ละวัน ซึ่งก็จะมีภาพวาดติดผนัง ที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวก็มี   ภาพวาด "1 แสนโกฏิจักรวาล" ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภายในศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ 
 ซึ่งทราบว่า นายพีระพงศ์ ขุนจิตต์ จิตรกร รางวัลต้นธารศิลป์ของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ และยังเป็นหนึ่งในจิตรกรที่ได้รับคัดเลือกเข้าไปบูรณะปราสาทเทพบิดร ภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี 2523    เป็นผู้วาดภาพดังกล่าว 

ซึ่งในการออกแบบภาพพระราหูถือปืนสไนเปอร์ ได้ทราบว่าเป็นเรื่องสอดแทรกปริศนาธรรม เพราะพระราหูมีสถานะเป็นทั้งเทพและยักษ์ ความหมายตามในภาพดังกล่าวเปรียบให้เป็นตัวแทนของความโลภ โกรธ หลง คนเราเมื่อเกิดความโลภ แม้แต่เทพยังกลายเป็นยักษ์ได้เลย เมื่อเกิดกิเลสกลายเป็นยักษ์ก็ใช้ปืนสไนเปอร์ที่เปรียบเสมือนอำนาจ ไปใช้ในทางที่ผิด โดยเล็งไปยังโลก คือ การทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ถ้าสังเกตดีๆ บนเศียรพระราหูจะมีรูปพระพุทธรูปเล็กๆ เปรียบเสมือนว่าคนที่มีอำนาจ ถ้ามีหลักธรรมอยู่ในจิตใจ ก็จะสามารถทำให้โลกบังเกิดสันติสุขได้                             สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าไปชมภาพจิตรกรรม หรือเข้าไปสักการะหลวงพ่อดวงดี สามารถเข้ามาแวะชมได้ที่ศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกส ได้ทุกวันตั้งแต่เวลา10.00-17.00 น.  ก็จึงขอบันทึกเรื่องราวดี ๆ อีกความทรงจำหนึ่งไว้ ณ ที่ตรงนี้..



                                                         @@@@@@@@@@@@@@

12 ต.ค. 2562

วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

ครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ไปกราบรอยพุทธบาท
วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

โดย.ณ  วงเดือน

      เป็นบุญมหากุศลมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิต มีโอกาศได้ไปแสวงบุญกราบรอยพระพุทธบาท ที่เก่าแก่สุด อีกแห่งหนึ่งของไทยเรา ที่ยอดเขาสุวรรณบรรพต พร้อมกันนี้จึงขอบันทึกเรื่องราว ความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ด้วยเพื่อจะได้รับเป็นความรู้สืบไป

  วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ ต.ขุนโขลน ห่างตัวอ.พุทธบาท 1 กม.และ ห่างจากตัว จ.สระบุรี  30 กม.  วัดนี้ตามที่บันทึกไว้ ก่อสร้างเมื่อ ปี พศ.2167 ในสมัยของพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา  ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาว่า พระภิกษุไทย เดินทางไปยังลังกาทวีป เพื่อแสวงบุญไหว้สักการะรอยพระพุทธบาท ยังเขาสุมนกูฎ
                       และได้พบพระสงฆ์ชาวศรีลังกา  ซึ่งกำลังตรวจทานสอบหาที่ตั้งแห่งรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้า ที่ปรากฎไว้ในตำนาน ว่า พระพุทธองค์ ประทับรอยพระบาทไว้ มี 5 แห่ง ในโลกนี้ และ ทราบว่า ประทับรอยพระบาทที่เขาสุวรรณบรรพต  แล้วเมื่อได้เดินทางกลับมา สู่ประเทศไทย จึงนำความขึ้นถวายพระเจ้าทรงธรรม  จากนั้นได้โปรดเกล้าฯ สั่งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ว่ามีรอยพระพุทธบาทยังที่แห่งใดบ้าง
   ในครั้งนั้นเจ้าเมืองสระบุรี ได้รับแจ้งจากพรานป่าว่า ครั้งหนึ่งได้ยิงกวางบาดเจ็บ แล้วหนีขึ้นไปไหล่เขา หลังตามขึ้นไปปรากฎว่า กวางที่บาดเจ็บหายจากบาดแผลถูกยิง วิ่งออกมาจากแนวพุ่มไม้หลังเนินเขานั้นได้อย่างปกติ  ด้วยความที่เห็นเป็นประหลาดจึงได้ตาม ไปยังหลังพุ่มไม้นั้น ปรากฎพบรอย เหมือนเท้าคนยาวกว่าสองศอก ในรอยนั้นมีน้ำขังอยู่ นายพรานนึกในใจว่า กวางที่บาดเจ็บคงหายอาการจากการดื่มน้ำในรอยนี้แน่นอน                         
   จึงได้ลองทำตามด้วยการดื่มน้ำและใช้น้ำ ลูบไล้ไปตามตัวคลายร้อน ปรากฎว่าโรคผิวหนังที่ขึ้นอยู่ตามเนื้อตัวหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ แล้วพรานนั้นจึงมาบอกเจ้าเมืองสระบุรี
   ทางเจ้าเมืองสระบุรีจึงได้แจ้งมายังกรุงศรีอยุธยา  เมื่อพระองค์ทรงทราบข่าวนั้น จึงได้เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตร และทรงเชื่อมั่นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทแน่แท้ เพราะมีลายกงจักร ประกอบด้วย มงคลร้อยแปดประการ  ตรงตามที่พระสงฆ์ชาวลังกาแจ้งมาด้วย ทำให้พระองค์เกิดความปราโมทย์ปิติยินดียิ่ง  จึงให้ช่างได้ก่อสร้างวิหารขนาดเล็กๆ สวมรอยพระพุทธบาทไว้เป็นการชั่วคราว

                  จากนั้นเสด็จกลับ และทรงให้นายช่างจากวังหลวง สร้างมณฑปยอดเดี่ยวสวมรอยพระพุทธบาทนั้น  และได้ทรงสร้างเสนาสนะเป็น วัดขึ้นเพื่อให้ พระเณรชี ผู้มาแสวงบุญได้อยู่พักแรมด้วย นอกจากนี้ยังได้ยกพื้นถิ่นแถบนี้ ให้เป็นเมืองชั้นจัตวา ชื่อเมืองว่า เมืองปรันตปะ  ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา และตั้งชายฉกรรย์ ในถิ่นนั้นตั้งเป็น ท่านขุนโขลน มีหน้าที่ดูแลรักษาองค์พระพุทธบาทอย่างเดียว และ มีชื่อเป็นทางการในพระราชทินนามบรรดาศักดิ์ประจำตำแหน่ง  ผู้รักษาการดูแลรอยพระบาทตามตำแหน่ง คือหัวหน้าผู้ดูแล มีชื่อตามตำแหน่งว่า ขุนสัจจพันธ์คีรีรัตนไพรวัล เจติยาสันคามวาสี นพคูหาพนมโขลน  รองหัวหน้า เป็นหมื่นสุวรรณปราสาท, หมื่นแผ้วอากาศ, หมื่นชินธาตุ, หมื่นศรีสัปบุรุษ,4คนนี้ผู้มีหน้าที่เฉพาะองค์พระมณฑป เท่านั้น
                              นอกจากนี้ยังตั้ง ผู้ดูแลรักษาทวารบาลประตูทั้ง4ทิศ อีกด้วย คือ หมื่นราชบำนาญทมุนิน, หมื่นอินทรรักษา,หมื่นบูชาเจดีย์,หมื่นศรีพุทธบาล  ,ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการเข้าออก  ของคนทั่วไป  นอกจากนี้ยังสร้างโรงคลังสำหรับเก็บทรัพย์สิน ของผู้ศรัทธา ที่นำมาถวายรอยพระบาทเป็นพุทธบูชาอีกด้วย  มีหน้าที่รักษาสมบัติเหล่านั้น มีรายชื่อนาม คือ ขุนอินทรพิทักษ์,ขุนพรหมรักษา,หมื่นพิทักษ์สมบัติ ,หมื่นพิทักษ์รักษา  นอกจากนี้ยังตั้งโคมยาม คือผู้ทำหน้าที่ประโคมฆ้องกลอง ทั้งกลางวันกลางคืน เป็นพุทธบูชาอีกด้วย มี หมื่นสนั่นไพเราะ,หมื่นเสนาะเวหา,พันเสนาะ, รองเสนาะ, รองลำดับลงมา โดยจัดงานประเพณีประจำปีไหว้รอยพระพุทธบาทในแต่ละปี ดังนี้คือ ขึ้นเดือน3 จัดครั้งแรก และขึ้นเดือน4 อีกครั้ง เป็นประเพณีมาแต่คราวนั้น
                           
                 โดยความเชื่อเก่าแก่มาแต่โบราณกาลว่า หากใครได้มาร่วมสักการะรอยพระพุทธบาทครบ 7 ครั้ง จะได้ไปบังเกิดแดนสวรรค์ จากอานิสงค์การสร้างบุญกุศลในครั้งนี้ ซึ่งที่นี่ ถือว่า ยังมีประเพณีแปลกอีกหนึ่งเดียวของไทย นั้นก็คือวันก่อนเข้าพรรษา ที่นี่จะมีการทำบุญตักบาตรด้วยดอกไม้ ที่ชื่อ ดอกเข้าพรรษา โดยดอกไม้ชนิดนี้ จะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงเดือน 8 ก่อนเข้าพรรษาเท่านั้น
   จึงขอนำบทความดี ๆ เรียบเรียงเรื่องราวของบทความเป็นมาของรอยพระพุทธบาท เพื่อประดับความรู้ และที่มาที่ไป ไว้ที่ Na_wongduen travel note.com ที่นี่เพื่อคงอยู่ตลอดไป..

                                                                 ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



วัดบ้านนาขนัน จัดสร้างพระเทพทันใจศรีวิไลไชโยและพระนาคปรค 9เศียร

ร่วมสร้างพระนาคปรค นพเศียรและหลวงพ่อทันใจ

โดย.ณ วงเดือน

       วัดสว่างอารมณ์หรือวัดบ้านนาขนัน ต.แก้งเหนือ  อ.เขมราฐ จ.อุบลฯ เป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ
    การเดินทางไปมาไม่สดวกเท่าที่ควร  เป็นวัดที่ให้การศึกษาแก่กุลบุตร ลูกหลานชาวบ้านที่ยากจน จนถึงมัธยมปีที่ 6  ซึ่งผู้จะเรียนยังโรงเรียนวัดแห่งนี้ ต้องบวชเรียนเป็นสามเณรเพื่อ อบรมศีลธรรมจิตใจ ให้ดีงามด้วย

                วัดสว่างอารมณ์ เป็นวัดราษฎร์   ตั้งอยู๋เลขที่ 71  บ้านนาขนัน ต.แก้งเหนือ  อ.เขมราฐ  จ.อุบล ฯ   สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2459
  มีหลวงปู่แก้ว เป็นเจ้าอาวาสร่วมกับชาวบ้านพากันจัดสร้างวัดขึ้นมาเพื่อ เป็นที่ทำบุญตามประเพณีและทำกิจร่วมกันระหว่างวัดกับบ้าน และได้รับเป็นวัดพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ 4 มีนา
คม 2480  ในสมัยก่อน ปี พ.ศ.2455 ที่วัดแห่งนี้ เคยเป็นสำนักเรียนของพระภิกษุสามเณรเรียนมูลกัจจายนะ บาลีสันสกฤษ และภาษาขอม และภาษาธรรมที่มีชื่อเสียงมาก ในสมัยนั้น มีหลายที่มาเล่าเรียนทั้งจากพระเณรชาวไทยและจาก สปป.ลาว ด้วยโดยมีท่านพระอาจารย์สอนตามลำดับหลายท่าน คือ1.พ่อจารย์ใบ 2.พ่อจารย์บุญ 3.พ่อจารย์งาม 4.พ่อจารย์ช่วย ตระกูลศรีสอน รับหน้าที่การสอนมาตามลำดับ
    สำหรับเจ้าอาวาสที่มีการบันทึกไว้ ดังนี้ คือ หลวงปู่แก้ว  ,หลวงปู่เกษ,หลวงปู่เสบย ,หลวงปู่เกื้อ,หลวงปู่ใบ,หลวงปู่ เบย,หลวงปู่อ้วน,หลวงปู่หนู,หลวงปู่การ,หลวงปู่คำ และหลวงปู่สวย ฐานวุฒโฒ เป็นเจ้าอาวาสมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2513-2542 รวมระยะเวลา 29 ปีหลังหลวงปู่สวยมรณะภาพ  มีพระศักดิ์ชัย ชยธัมโม รักษาการเจ้าอาวาสอยู่ 3ปี คือ ปี 2542-2544 จนต่อมาได้มีพระมหากฤษฎา กิตติธโร รักษาการต่อ ในปี 2544-2545

  จนต่อมาในปี พ.ศ.2546  วัดได้รับการแต่งตั้งเจ้าอาวาสให้มาดูแล ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ คือท่านพระครูศรีสุตาลังการ นิภาธโร เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2546  ถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเมื่อท่านได้มาอยู่ที่วัดแห่งนี้ ได้ดำรงตนในฐานะพระผู้สร้าง ในด้านการศึกษาให้แก่ลูกหลานชาวบ้าน ด้วยการตั้งสำนักเรียนปริยัติธรรมสอนทั้งทางธรรมและทางโลก โดยมีการการสอนถึง ม.ปลาย เพื่อลูกหลานชาวบ้านที่ด้อยโอกาศได้มีช่องทางในการศึกษา

  ประวัติของพระครูศรีสุตาลังการ สกุลปัถมา จบ นธ.เอก  และเป็นมหาเปรียญธรรม 6 ประโยค  จบ ป.ตรี พธบ.เกียรตินิยม อันดับ 2  และ ป.โท ด้านการบริหารการศึกษา  และ จบ ดอกเตอร์ ปริญญาเอก ที่ Phd.umkc.รัฐฟอริด้า usa. เป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์บ้านนาขนัน และเป็นเจ้าคณะอำเภอเขมราฐ ในปัจจุบัน

       ทั้งนั้นในปี พ.ศ 2550 ได้รับเสาเสมาธรรมจักรทองคำ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี สาขาส่งเสริมการศึกษาปริยัติธรรม อีกด้วย และในปี 2553 ได้รับเกียรติบัติต้นแบบคนดีศรีแผ่นดิน จ.อุบลราชธานี จึงถือได้ว่าท่านเป็นผู้มีคุณวุฒิ คุณธรรมทุกประการในการ สั่งสอนศีลธรรมอันดีต่อพุทธศาสนิกชน ลูกหลานชาวบ้านให้ได้รับการศึกษา มีความรู้เป็นอนาคตของชาติที่ดี ต่อไป  ในด้านการพัฒนาวัดวาอาราม ได้ดำเนินการจัดสร้าง เสนาสนะหลายอย่างให้กับวัด เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของวัด มีการสร้างห้องน้ำ ห้องสุขา ไว้ต้อนรับญาติธรรมผู้เข้ามาทำบุญปฎิบัติธรรม และสร้างห้องสมุด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน ตลอดจนสร้างลานธรรม เพื่ออบรมศีลธรรมสมาธิให้กับพระเณรชี และชาวบ้านทั่วไป ได้เข้ามาใช้เป็นที่ปฎิบัติด้านจิตใจให้ใสบริสุทธิ์สอาด สงบนิ่งใสเย็น เป็นหน่อเนื้อนาบุญในพุทธศาสนาต่อไป

   ในปีที่ผ่านมา ท่านได้สร้างศาลาอบรมศีลธรรมแก่เยาวชน ในเขตจังหวัด และจัดสร้างพระนาคปรค นพเศียร 9 เศียรไว้บนศาลาอบรม เพื่อไว้เป็นที่
ยึดเหนี่ยวจิตใจ นอกจากนี้ได้จัดสร้าง พระพุทธรูปทันใจ ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในวันเดียวกัน ซึ่งสำเร็จลุล่วง อย่างใจปรารถนา แต่ยังเหลือ งานทำนุบำรุงและการทาสี องค์พระตลอด จนสร้างวิหารครอบต่อไป ซึ่งในส่วนนี้ ก็รอผู้มีใจศรัทธามาร่วมสร้างเสริมเติมแต่งให้สำเร็จสวยงาม ดังที่ทุกคนหวัง ก็ใครมีทุนรอน ต้องการมาสร้างเสริมสะสมบุญบารมี  ก็สามารถร่วมสร้างบุญกุศลได้โดยส่งเป็นปัจจัยธนานัติร่วมสร้าง มาได้ที่ วัดสว่างอารมณ์บ้านนาขนัน หรือ สอบถามมาที่ ท่านพระครูได้ที่หมายเลย  085-251-3159 หรือ facebook.วารสารข่าวดี ศรีสังคม  ได้ครับ  จึงบันทึกบอกบุญไว้ใน Na_wongduen Travel note.com  เป็นความทรงจำดี ๆ ตลอดไป.
                              พระมหาพงษ์ศักดิ์  สิทธิเมธี  พระเลขาเจ้าคณะอำเภอเขมราฐ
                                                                         @@@@@@@@

9 ต.ค. 2562

โบสถ์ เซนต์โจเซฟ กรุงฮานอย



โบสถ์ศาสนาคริสต์ ใหญ่สุดในกรุงฮานอย

   โดย.ณ  วงเดือน

         ผมได้เดินทางไปยังกรุงฮานอย เมื่อช่วงปลายหน้าหนาวที่ผ่านมา และได้พักอยู่ในเมืองหลวงกรุงฮานอย และเป็นครั้งแรกที่ ได้เดินทางมายังที่นี่ ในช่วงสาย ๆ ของวันพักผ่อนแรก ที่มาถึงที่ ได้รับการแนะนำจากน้อง ๆ คนนึงที่อาศัยเรียนหนังสืออยู่ที่ กรุงฮานอยแห่งนี้ บอกมาถึงที่นี่ควรจะแวะไปเยี่ยมชม โบสถ์คริสต์ ที่ใหญ่และสวยงามมากของกรุงฮานอย
   เรียกกันว่า โบสถ์เซนต์โจเซฟ ตั้งอยู่ที่ ถนนย่าจูง เขตหว่านเกี๊ยม กรุงฮานอย  ซึ่งตามข่อมูลของโบสถ์นี้ ถูกสร้างขึ้น ในราวปี  ปลายศตวรรษที่ 19  ซึ่งมีความสวยงามโดดเด่นมาก มีการผสมผสานระหว่างตะวันตกกับตะวันออกอย่างลงตัว ซึ่งลอกแบบมาจากวิหาร นอทเทอร์ดามในกรุงปารีส  ถือว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก  ที่ใหญ่สุดในฮานอย
    โดยสถานที่ตั้งของโบสถ์เซนต์โจเซฟนี้ ครั้งหนึ่งที่ตั้งนี้เป็นของเจดีย์ Bao Thien ใน ศาสนาพุทธ  ที่มีอายุมายาวนานกว่า 800 ปี  ชาวฝรั่งเศสที่เข้าครอบครองเวียดนามในสมัยนั้นได้ทำลายลง และสร้างมหาวิหารนี้ขึ้นแทน         
    ด้านหน้าของตัวตึกจะมีความเด่นเป็นสง่าสวยงามมาก ด้านหน้าอาคารโบสถ์ มีนาฬิกาขนาดใหญ่ และหอระฆังสูง ขนาบสองข้าง มีระฆังแขวนอยู่โดยรอบ 5 ลูก  นอกจากนี้ที่ด้านหน้าอาคารของโบสถ์มีนูปพระแม่มารีย์ ทำด้วยโลหะ ในฐานกรงเหล็ก มีสวนหย่อมขนาดเล็ก ๆ  ซึ่งมีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามเอง มักนิยมมาถ่ายรูปกันตรงบริเวณนี้  รวมทั้งผู้เขียนด้วย ที่จะไม่พลาดเช่นกันในการเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกในการมาเยือนในครั้งนี้  ถือได้ว่า โบสถ์เซนต์โจเซฟแห่งนี้ ถือเป็นสัญญลักษณ์หนึ่งของกรุงฮานอยเลยทีเดียว  ลองไปเที่ยวชมกันดูครับจะประทับใจอย่างมิรู้ลืมเช่นผู้เขียน..



  เมื่อเราเดินเข้าไปสู่ด้านใน อาคาร มีประตูเล็ก อีกสองข้าง ขนาบประตูบานใหญ่ และเมื่อเดินเข้าไป ด้านข้างขวามือของเรา จะมีหีบจำลอง ซึ่งมีพระเยซูนอนอยุ่ในนั้น  และ ลวดลายการตกแต่ง


ระเบียงหน้าต่าง ด้วยกระจกสี มีลวดลายแบบพื้นบ้านแต่งดงามมาก  ส่วนด้านใน ที่เป็นห้องโถงหลัก มีรูปปั้นพระเยซู ที่ทำจากเซรามิคสูงกว่าสองเมตร  และด้านหน้าฐาน จะมีจารึกหมุดทองเหลือง ที่ได้บันทึกไว้ และจารึกชื่อของ บาทหลวงชื่อ  TRINH NHU KHUE  เป็นพระคาดินัลคนแรก ของเวียดนาม   และเป็นผู้นำสูงสุดของคริสต์ศาสนาของเวียดนามมายาวนาน ถึง 25 ปี
      ความยิ่งใหญ่ภายในห้องโถง และความสงบเงียบยังมีให้เห็นในด้านใน แม้จะมีนักท่่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชม อยู่ตลอดเวลารวมทั้งผู้เขียนด้วย ก็รู้สึกถึงความมีมนต์ขลังพลังงานบางอย่างวนเวียน อยู่ภายในอย่างที่หาคำตอบมิได้  ทางผู้เขียนจึงขอจบการเล่าถึงความเป็นมาของสถานที่นี้เพียงเท่านี้.

                                             ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

20 มิ.ย. 2562

เทพกระซิบ หรือ เมี๋ยะนานหน่วย

 เมี้ยะนานหน่วย หรือชื่อเทพกระซิบ
 อยู่ศาลาข้างกับวัดโบตะทาว  ย่างกุ้ง

โดย.ณ  วงเดือน

          


            เรื่องของเทพกระซิบ ของพม่าที่ตั้งอยู่          ที่ข้างวัดโบตะทาว บ้างก็ว่าเป็นธิดาของพญานาคราช ที่ศรัทธาต่อพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ จนตลอดอายุขัย เมื่อสิ้นชีพในาภาพนั้นแล้ว ได้กลายมาเป็นนัต

               ซึ่งในความหมายของนัต ก็คือ เทพเจ้าเทวาอารัก เทพคุ้มครองนั้นเอง  ซึ่งทางพม่านั้นมีความเชื่อกันว่า  ผู้ที่สร้างคุณงามความดีมาโดยตลอด เมื่อสิ้นชีพใน ช่วงอายุขัยของการเกิดในภพนั้น ๆ จะมาเป็นนัต นั่นเอง ซึ่งนัต ในพม่า ที่มีผู้คนนับถืออยู่มากถึง  36 องค์เลยทีเดียว เหมือนอย่างเมี้ยะนานหน่วย หรือเทพกระซิบ ตนนี้เช่นกัน   การบูชาเทพกะซิบ ตามที่่ทางผู้เขียนได้ไปกราบไหว้ ในวันนั้น ซึ่งผู้ศรัทธานิยมนำของ มาเซ่นไหว้สักการะบูชา  นั้นที่ชาวพม่านิยมกันนั้นก็ คือ มะพร้าวน้ำหอม กล้วยนาก ที่มีลูกออกสีทอง และอ้อย รวมทั้งข้าวตอก และน้ำนม และดอกไม้นานาสีสัน ซึ่งทางสถานที่ มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเวลา รวมทั้งเครื่องเซ่นไหว้ ต่าง ๆ มีจัดให้ ผู้คนที่ศรัทธาได้เช่าไปบูชา เทพกะซิบโดยไม่ต้องจัดหาให้ลำบาก หากไม่สดวกที่จะหาไปไหว้นั่นเอง
   ทางผู้เขียนได้ เข้าไปกราบและถ่ายทำ รวมทั้งรูปภาพ และวิดีโ
 อในครั้งนี้ด้วย เพื่อใช้ในการเผยแพร่อีกทีนึง รวมทั้ง เก็บภาพความประทับใจไว้ในการมาครั้งนี้ด้วยในการมาครั้งนี้นั้นของทางผู้เขียน รับเป็นข้อมูลมาว่า หากในช่วงวันเข้าพรรษา เทพกะซิบหรือ เมี๊ยะนานหน่วย ท่านจะอยู่ในช่วงถือศีล  ทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งดูแลสถานที่นี่  จะนำมงกุฎที่ครอบศรีษะออก รวมทั้งวิกผม ที่สวมใส่ยาวสลวยนั้นออก รวมทั้ง ลบแป้งเครื่องสำอางค์ ที่ทาหน้าริมฝีปาก ไม่หลงเหลือเครื่องสำอางค์  และจะเปลี่ยนเครื่องชุดแต่งกายให้ใหม่ เป็นแบบแม่ชีจำศีล และในช่วงหลังเที่ยงแล้ว จะมีถวายเครื่องเซ่นไหว้เพียงน้ำผลไม้เท่านั้น เพราะถือว่าท่านอยู่ในศีลวัตรปฎิบัติดังแม่ชี ทุกประการ  
     แต่ในช่วงที่ทางผู้เขียนไป เป็นช่วงก่อนเข้าพรรษานั่นเอง จึงยังเห็น ชุดของเทพกะซิบ ยังแต่ชุดเหมือนเจ้าหญิง พร้อมเครื่องประดับนั่นเอง ส่วนมาก ทั้งชาวพม่า และคนไทยที่มักไปขอพร กับเทพกะซิบนั่น ก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ กล้วย อ้อย ข้าวตอก ดังที่ว่ามา มาขอพร ซึ่งก็จะสำเร็จได้ดังที่ขอกันว่าอย่างนั้น ใครอยากรู้ และขอพรสำเร็จดังตั้งใจหรือไม่ ก็ลองมาเที่ยวกันดูครับ ที่วัดโบตาทาวน์  กรุงย่างกุ้ง เมียนมาร์ ครับ.
  




                                                                      ๑////////////////////////๑

17 มิ.ย. 2562

เจดีย์ซู่เล อีกสถานที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนาของกรุงย่างกุ้ง


เจดีย์ซู่เล กลางเมืองย่างกุ้ง

โดย.ณ  วงเดือน
  
 เจดีย์ซูเล ตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นสมัยพระพุทธเจ้ายังมีพระชนชีพอยู่ และสร้างมาก่อนเจดีย์ชะเวดากองอีกด้วย มีอายุมากถึง 2,500 กว่าปีเลยทีเดียว  ส่วนเจดีย์ชัเวดากองนั้นได้รับคำแนะนำจากนัตหรือว่า เทวดาที่รักษา เจดีย์สุเล ให้ไปสร้างยังเนินเขาดังกล่าว
     เจดีย์สุเล เป็นรูปทรงเจดีย์แปดเหลี่ยม แต่ละด้านมีความยาว 7เมตร สูง 44 เมตร  เจดีย์สุเล  ได้รับการบูรณะมีขนาดเท่า สมัยปัจจุบันนี้ โดยพระนาง เชงสอบู  รอบ ๆ เจดีย์ มีระฆังสัมฤทธิ์  10 ใบ ขนาด หลายขนาด อายุแตกต่างกัน ไป ตาม
แต่ละช่วงของผู้ศรัทธาสร้างถวายเป็นช่วง ๆ เจดีย์แห่งนี้ ตามความเชื่อต่อกันมาว่า เป็นที่มาร่วมชุมนุนกัน  เมื่อครั้งพระราชาพระนามว่า โอกะปาละ ร่วมกับแม่ทัพนายกองตลอดจน

 ไพร่พลเทวดาอารักษ์ ที่ได้มาร่วม ชุมนุมปรึกษา เพื่อจะหาที่สร้าง เจดีย์ใหม่ นั้นคือ เจดีย์ชะเวดากอง นั้นเอง จึงเป็นที่รวมชุมนุมเพื่อปรึกษาหารือกัน จึงเป็นที่มาของ ชื่อเจดีย์สุเล  ส่วนอีกที่มา ของชื่อเจดีย์ สุเล อีกที่มานั้นคือ  สุ-เล คือพุ่มไม้ป่าชนิดหนึ่ง นั่นเอง

13 มิ.ย. 2562

พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยีหรือ พระนอนตาหวาน


พระใหญ่ไสยาสน์ทัตยี กรุงย่างกุ้ง

โดย..ณ  วงเดือน

  เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2562 ของวันที่ 9 ตรงกะวันอาทิตย์ เราทีมงานตั้งใจจะไปเที่ยวเมียนมาร์เพื่อสักการะพระและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา จุดหมายอีกที่หนึ่งที่เราต้องการจะมา นั้นก็คือ วัดพระนอนตาหวาน หรือพระพทธไสยาสเจาทัตยี คนไทยเราเรียกพระนอนตาหวาน
   วัดเชาะทะจี ตั้งอยู่ที่ อำเภอบะฮ่าน เมืองหลวงเก่ากรุงย่างกุ้ง
ประเทศเมียนมาร์ เป็นพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่ มีความยาวกว่า 66 เมตรเป็นพระนอนใหญ่ที่สุดของพม่า
  ตามประวัติการสร้าง จากเศรษฐีชาวพม่า ชื่อ โบ้ตา เริ่มก่อสร้างใน ปี พ.ศ 2442 แล้วเสร็จสมบูรณ์ใน ปี พ.ศ 2450
ขณะนั้นใบหน้าของพระพุทธรูปยังมีหน้าตาที่ดุดัน
  จนต่อมาในปี พ.ศ  2493  จึงได้รื้อพระพุทธรูป องค์เก่าออก เนื่องจาก สภาพชำรุดเสียหาย จากพายุพัดถล่ม  ทางวัดจึงได้ทำการจัดสร้างขึ้นใหม่  โดยนายช่างผู้คุมชื่อ อู้ตอง เป็นช่างใหญ่จากเมืองทวาย เป็นผู้ดูแลการก่อสร้างจนแล้วเช่นปัจจุบัน
   เราเดินทางด้วยรถ taxy ไปยังจุดหมายวัดพระนอนตาหวานนี้ ในวันที่ 2 ของการเดินทางมาที่นี่ ความงดงามและความอลังการเป็นสุดยอด ของพระพุทธรูปที่เราได้พบเจอมา
  ทราบมาว่าวัดพระนอนแห่งนี้ เป็นสถานที่ศึกษาพระธรรมวินัย
ของพระ มีสอนแต่ระดับต้นถึงระดับสูง มีพระมาอาศัยเรียนที่นี่หลายร้อยรูปเลยทีเดียว ด้านหน้าของวัดยังมีร้านค้าต่างๆ ของชาวบ้านมาขายพวก หยกกำไล และผ้าพื้นบ้านให้กับนักท่องเที่ยวได้ซื้อหา เราแวะชมแหวนหยก และกำไลข้อมือ ซึ่งราคาไม่แพงมากเกินไป ใครสนใจก็ถาม ลดราคากันได้..



                                                               @@@@@@@@@@@