เจดีย์ชะเวดากองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนพม่านับถือกันเท่าชีวิต
โดย..ณ วงเดือน
ครั้งหนึ่งเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาศได้เดินทางไปยัง กรุงย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงเก่าของเมียนมาร์
ในปัจจุบันนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะไปกราบสักการะเจดีย์ชะเวดากอง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธทั่วโลก
ที่หากมีโอกาศ ก็จะมาเยือนกราบไหว้ ดูชมความงามและเสริมชะตาบารมี
ชีวิตของตัวเอง
เจดีย์ชะเวดากอง ตั้งอยู่ที่
บริเวณที่ เรียกกันว่า
เนินเขาเชียงกุตระ โดยคำว่า ชะเว หมายถึง ทอง ดากอง
คือชื่อเมืองเก่าของย่างกุ้ง เจดีย์แห่งนี้
เชื่อกันว่าเป็นที่ บรรจุพระเกศาธาตุของพระโคดมพุทธเจ้า จำนวน 8 เส้น โดยไว้บนส่วนยอดสุด ของเจดีย์ ฐานของเจดีย์ทำจากอิฐปกคลุมด้วยแผ่นทอง
ด้านบนเป็นฐานเจดีย์ลาดแบบขั้นบันไดมีเพียงพระภิกษุและผู้ชายเท่านั้นที่สามารถขึ้นได้
ถัดไปด้านบนเป็นส่วนองค์ระฆัง, รัดอกคาดองค์ระฆัง, บาตรคว่ำ, บัวคอเสื้อลวดลายดอกไม้ห้อย, ปล้องไฉน, กลีบบัวคว่ำ, แถบกลม, กลีบบัวหงาย, ปลียอด, ฉัตร, ธงใบพัด
และลูกแก้วโดยรอบ ๆ ลูกแก้วที่บรรจุเกศาธาตุนั้น ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณี
หรือเพชรหยาดน้ำค้าง ประกอบด้วยเพชร 5,448เม็ดและทับทิมจำนวน
2,317 เม็ด
โดยในส่วนที่ปลายบนสุดนั้น เป็นเพชรปลายแหลมหนัก 76 กะรัต เพื่อรับลำแสงแรกของพระอาทิตย์ และแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ตกซึ่งผู้จะเข้าไปกราบยังพระเจดีย์นี้
จะต้องถอดรองเท้าเข้าไป แผ่นทองที่ใช้ปิดโครงสร้างอิฐถูกยึดด้วยหมุดแบบดั้งเดิม
ประชาชนทั่วประเทศได้บริจาคเงินทองเพื่อบูรณะเจดีย์
การปฏิบัติยังคงมีมาจนถึงทุกวันนี้หลังจากพระนางเซงสอบู ได้บริจาคทองคำเท่าน้ำหนักของพระองค์ในการบูรณะเจดีย์
โดยเรามาถึงช่วงเย็นของวันแรกของการเดินทางที่มาถึงที่นี่
และเดินรอบชมบริเวณโดยรอบ ของด้านหน้าด้านข้าง ของเจดีย์ เกือบ 18.00น.เราจึงได้พากัน ขึ้นมาสู่ด้านบน ของเจดีย์ ซึ่ง
ที่นี่จะมีการตรวจความเรียบร้อยของผู้คนที่จะเข้ามายังด้านบนของ องค์เจดีย์
ผ่านจุดตรวจ x-ray เรียบร้อย
ถึงจะขึ้นไปสู่ด้านบนอีกชั้น ซึ่งที่นี่ จะต้องเสียบัตร เข้าชม คนละ 10,000
จ้าต หลังเราชำระ บัตรเป็นที่เรียบร้อยถึงจะเข้าไปด้านในรอบ ๆ
บริเวณเจดีย์ได้ คนที่สวมใส่ขาสั้นต้อง ใส่ผ้าถุงที่เจ้าหน้าที่มีไว้แล้ว
โดยจะต้องเสียค่าเช่าชุด ผ้านุ่งโสร่งอีกที จึงจะอนุญาติให้เข้าไป เรา
เดินเจ้าไปกราบพระด้านหน้าเสร็จ แล้วจึง เดินหามุมถ่ายรูป ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้ง
ชาวพม่า ไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนมากที่ขึ้นมาชมความงาม
เจดีย์ชะเวดากองตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นมากว่า 2,500 กว่าปีมาแล้ว
นักโบราณคดีเชื่อกันว่า สร้างมาแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ 2 พี่น้อง ชื่อ ตปุสสะ และ ภัลลิกะ
ซึ่งได้สร้างขึ้นที่เนินเขาเชียงกุตระ ซึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระองค์จึงได้ประทาน พระเกศา คือเส้นผมของพระพุทธองค์ ให้พ่อค้าทั้ง 2 มาจำนวน 8 เส้น
เมื่อได้เดินทางกลับมาถึงยังที่ดังกล่าว ได้รับความช่วยเหลือ จากพระราชา ชื่อ
โอกะละปา ในการสร้างพระเจดีย์ ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเกศาธาตุ
บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ แห่งนี้นั้นเอง
เจดีย์ได้ทรุดโทรดถูกทิ้งร้าง
จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระยาอู่ ได้ทรงบูรณะเจดีย์
ขึ้นอีก มีความสูง 18 เมตร และต่อมาอีก
พระนางเชงสอบู ได้มีความศรัทธาเลื่อมใส ได้บูรณะเสริมเจดีย์ ให้มีความสูงขึ้นไปอีก
ถึง 40 เมตร และทำการปรับเนินที่ตั้งของเจดีย์ ให้เป็นฐานลาด
เป็นชั้น ๆ แบบขั้นบรรได
มีบันไดทางขึ้นไปยังลานเนินเขาสิงคุตระ
ทั้งสี่ทิศทาง ในแต่ละทางขึ้นมีรูปปั้นคล้ายสิงโตมีชื่อเรียกว่าชินเต
ประดับไว้เป็นคู่หน้าทางขึ้นเพื่อปกปักรักษาองค์เจดีย์ตามความเชื่อ
ทางทิศตะวันออกและทางใต้มีร้านขายธูปเทียน ทองคำเปลว หนังสือ และวัตถุมงคลต่าง ๆ
โดยทางผู้เขียน ณ วงเดือน และผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชม เมื่อขึ้นไปยังด้านบนสุดแล้ว
มักนิยมเดินตามเข็มนาฬิกาวนรอบเจดีย์ เริ่มต้นที่ศาลทางทิศตะวันออกซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูป
กกุกสันโท พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัปนี้ ถัดไปเป็นศาลทางทิศใต้ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปโกนาคมโน พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ในภัทรกัปนี้
ถัดไปศาลทางทิศตะวันตกเป็นศาลของ พระกัสสป พระพุทธเจ้าองค์ที่สามในภัทรกัปนี้
สุดท้ายศาลทางทิศเหนือเป็นศาลของพระโคตม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทางผู้เขียนได้เข้ากราบองค์พระเจดีย์ ด้วยความสุขปลื้มปิติแห่งใจเป็นที่สุด
ที่ได้มีโอกาศได้เข้ามาเที่ยวชมและกราบไหว้ถึงถิ่น
ที่เป็นที่ตั้งประดิษฐานของพระเกศา
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ครั้งยังพระชนชีพอยู่ ที่ได้มอบให้กับพ่อค้า 2
พี่น้องชาวพม่า ที่เดินทางไปค้าขายยังชมภูทวีป ในครั้งที่ พระองค์ตรัสรู้ใหม่ และดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้
ส่วนใครที่อยากเดินทางไปยังกรุงย่างกุ้ง พม่า สามารถเดินทางไปได้แบบ
เช้าไป เย็นกลับได้ ซึ่งทุกวันนี้ มีหลายสายการบินที่มุ่งหน้าสู่กรุงย่างกุ้ง
ในราคาไม่แพง เหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญทุกท่านที่อยากไปสร้างเสริมสะนสมบุญบารมีลองไปกันดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เรานั้นจะหาโอกาศไปได้ยาก ยกเว้นผู้มีบารมีแรงกล้าและตั้งใจมั่นจริง ๆ ที่จะไปลองดูกันครับ..
ครั้งหนึ่งเมื่อผู้เขียนได้มีโอกาศได้เดินทางไปยัง กรุงย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงเก่าของเมียนมาร์ ในปัจจุบันนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะไปกราบสักการะเจดีย์ชะเวดากอง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธทั่วโลก ที่หากมีโอกาศ ก็จะมาเยือนกราบไหว้ ดูชมความงามและเสริมชะตาบารมี ชีวิตของตัวเอง
เจดีย์ชะเวดากอง ตั้งอยู่ที่
บริเวณที่ เรียกกันว่า
เนินเขาเชียงกุตระ โดยคำว่า ชะเว หมายถึง ทอง ดากอง
คือชื่อเมืองเก่าของย่างกุ้ง เจดีย์แห่งนี้
เชื่อกันว่าเป็นที่ บรรจุพระเกศาธาตุของพระโคดมพุทธเจ้า จำนวน 8 เส้น โดยไว้บนส่วนยอดสุด ของเจดีย์ ฐานของเจดีย์ทำจากอิฐปกคลุมด้วยแผ่นทอง
ด้านบนเป็นฐานเจดีย์ลาดแบบขั้นบันไดมีเพียงพระภิกษุและผู้ชายเท่านั้นที่สามารถขึ้นได้
ถัดไปด้านบนเป็นส่วนองค์ระฆัง, รัดอกคาดองค์ระฆัง, บาตรคว่ำ, บัวคอเสื้อลวดลายดอกไม้ห้อย, ปล้องไฉน, กลีบบัวคว่ำ, แถบกลม, กลีบบัวหงาย, ปลียอด, ฉัตร, ธงใบพัด
และลูกแก้วโดยรอบ ๆ ลูกแก้วที่บรรจุเกศาธาตุนั้น ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณี
หรือเพชรหยาดน้ำค้าง ประกอบด้วยเพชร 5,448เม็ดและทับทิมจำนวน
2,317 เม็ด
โดยในส่วนที่ปลายบนสุดนั้น เป็นเพชรปลายแหลมหนัก 76 กะรัต เพื่อรับลำแสงแรกของพระอาทิตย์ และแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ตกซึ่งผู้จะเข้าไปกราบยังพระเจดีย์นี้ จะต้องถอดรองเท้าเข้าไป แผ่นทองที่ใช้ปิดโครงสร้างอิฐถูกยึดด้วยหมุดแบบดั้งเดิม ประชาชนทั่วประเทศได้บริจาคเงินทองเพื่อบูรณะเจดีย์ การปฏิบัติยังคงมีมาจนถึงทุกวันนี้หลังจากพระนางเซงสอบู ได้บริจาคทองคำเท่าน้ำหนักของพระองค์ในการบูรณะเจดีย์
โดยเรามาถึงช่วงเย็นของวันแรกของการเดินทางที่มาถึงที่นี่ และเดินรอบชมบริเวณโดยรอบ ของด้านหน้าด้านข้าง ของเจดีย์ เกือบ 18.00น.เราจึงได้พากัน ขึ้นมาสู่ด้านบน ของเจดีย์ ซึ่ง ที่นี่จะมีการตรวจความเรียบร้อยของผู้คนที่จะเข้ามายังด้านบนของ องค์เจดีย์ ผ่านจุดตรวจ x-ray เรียบร้อย ถึงจะขึ้นไปสู่ด้านบนอีกชั้น ซึ่งที่นี่ จะต้องเสียบัตร เข้าชม คนละ 10,000 จ้าต หลังเราชำระ บัตรเป็นที่เรียบร้อยถึงจะเข้าไปด้านในรอบ ๆ บริเวณเจดีย์ได้ คนที่สวมใส่ขาสั้นต้อง ใส่ผ้าถุงที่เจ้าหน้าที่มีไว้แล้ว โดยจะต้องเสียค่าเช่าชุด ผ้านุ่งโสร่งอีกที จึงจะอนุญาติให้เข้าไป เรา เดินเจ้าไปกราบพระด้านหน้าเสร็จ แล้วจึง เดินหามุมถ่ายรูป ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้ง ชาวพม่า ไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนมากที่ขึ้นมาชมความงาม
โดยในส่วนที่ปลายบนสุดนั้น เป็นเพชรปลายแหลมหนัก 76 กะรัต เพื่อรับลำแสงแรกของพระอาทิตย์ และแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ตกซึ่งผู้จะเข้าไปกราบยังพระเจดีย์นี้ จะต้องถอดรองเท้าเข้าไป แผ่นทองที่ใช้ปิดโครงสร้างอิฐถูกยึดด้วยหมุดแบบดั้งเดิม ประชาชนทั่วประเทศได้บริจาคเงินทองเพื่อบูรณะเจดีย์ การปฏิบัติยังคงมีมาจนถึงทุกวันนี้หลังจากพระนางเซงสอบู ได้บริจาคทองคำเท่าน้ำหนักของพระองค์ในการบูรณะเจดีย์
โดยเรามาถึงช่วงเย็นของวันแรกของการเดินทางที่มาถึงที่นี่ และเดินรอบชมบริเวณโดยรอบ ของด้านหน้าด้านข้าง ของเจดีย์ เกือบ 18.00น.เราจึงได้พากัน ขึ้นมาสู่ด้านบน ของเจดีย์ ซึ่ง ที่นี่จะมีการตรวจความเรียบร้อยของผู้คนที่จะเข้ามายังด้านบนของ องค์เจดีย์ ผ่านจุดตรวจ x-ray เรียบร้อย ถึงจะขึ้นไปสู่ด้านบนอีกชั้น ซึ่งที่นี่ จะต้องเสียบัตร เข้าชม คนละ 10,000 จ้าต หลังเราชำระ บัตรเป็นที่เรียบร้อยถึงจะเข้าไปด้านในรอบ ๆ บริเวณเจดีย์ได้ คนที่สวมใส่ขาสั้นต้อง ใส่ผ้าถุงที่เจ้าหน้าที่มีไว้แล้ว โดยจะต้องเสียค่าเช่าชุด ผ้านุ่งโสร่งอีกที จึงจะอนุญาติให้เข้าไป เรา เดินเจ้าไปกราบพระด้านหน้าเสร็จ แล้วจึง เดินหามุมถ่ายรูป ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้ง ชาวพม่า ไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนมากที่ขึ้นมาชมความงาม
เจดีย์ชะเวดากองตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นมากว่า 2,500 กว่าปีมาแล้ว
นักโบราณคดีเชื่อกันว่า สร้างมาแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ 2 พี่น้อง ชื่อ ตปุสสะ และ ภัลลิกะ
ซึ่งได้สร้างขึ้นที่เนินเขาเชียงกุตระ ซึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระองค์จึงได้ประทาน พระเกศา คือเส้นผมของพระพุทธองค์ ให้พ่อค้าทั้ง 2 มาจำนวน 8 เส้น
เมื่อได้เดินทางกลับมาถึงยังที่ดังกล่าว ได้รับความช่วยเหลือ จากพระราชา ชื่อ
โอกะละปา ในการสร้างพระเจดีย์ ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเกศาธาตุ
บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ แห่งนี้นั้นเอง
เจดีย์ได้ทรุดโทรดถูกทิ้งร้าง
จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระยาอู่ ได้ทรงบูรณะเจดีย์
ขึ้นอีก มีความสูง 18 เมตร และต่อมาอีก
พระนางเชงสอบู ได้มีความศรัทธาเลื่อมใส ได้บูรณะเสริมเจดีย์ ให้มีความสูงขึ้นไปอีก
ถึง 40 เมตร และทำการปรับเนินที่ตั้งของเจดีย์ ให้เป็นฐานลาด
เป็นชั้น ๆ แบบขั้นบรรได
มีบันไดทางขึ้นไปยังลานเนินเขาสิงคุตระ
ทั้งสี่ทิศทาง ในแต่ละทางขึ้นมีรูปปั้นคล้ายสิงโตมีชื่อเรียกว่าชินเต
ประดับไว้เป็นคู่หน้าทางขึ้นเพื่อปกปักรักษาองค์เจดีย์ตามความเชื่อ
ทางทิศตะวันออกและทางใต้มีร้านขายธูปเทียน ทองคำเปลว หนังสือ และวัตถุมงคลต่าง ๆ
โดยทางผู้เขียน ณ วงเดือน และผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชม เมื่อขึ้นไปยังด้านบนสุดแล้ว
มักนิยมเดินตามเข็มนาฬิกาวนรอบเจดีย์ เริ่มต้นที่ศาลทางทิศตะวันออกซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูป
กกุกสันโท พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในภัทรกัปนี้ ถัดไปเป็นศาลทางทิศใต้ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปโกนาคมโน พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง ในภัทรกัปนี้
ถัดไปศาลทางทิศตะวันตกเป็นศาลของ พระกัสสป พระพุทธเจ้าองค์ที่สามในภัทรกัปนี้
สุดท้ายศาลทางทิศเหนือเป็นศาลของพระโคตม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทางผู้เขียนได้เข้ากราบองค์พระเจดีย์ ด้วยความสุขปลื้มปิติแห่งใจเป็นที่สุด
ที่ได้มีโอกาศได้เข้ามาเที่ยวชมและกราบไหว้ถึงถิ่น
ที่เป็นที่ตั้งประดิษฐานของพระเกศา
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ครั้งยังพระชนชีพอยู่ ที่ได้มอบให้กับพ่อค้า 2
พี่น้องชาวพม่า ที่เดินทางไปค้าขายยังชมภูทวีป ในครั้งที่ พระองค์ตรัสรู้ใหม่ และดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้
ส่วนใครที่อยากเดินทางไปยังกรุงย่างกุ้ง พม่า สามารถเดินทางไปได้แบบ เช้าไป เย็นกลับได้ ซึ่งทุกวันนี้ มีหลายสายการบินที่มุ่งหน้าสู่กรุงย่างกุ้ง ในราคาไม่แพง เหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญทุกท่านที่อยากไปสร้างเสริมสะนสมบุญบารมีลองไปกันดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เรานั้นจะหาโอกาศไปได้ยาก ยกเว้นผู้มีบารมีแรงกล้าและตั้งใจมั่นจริง ๆ ที่จะไปลองดูกันครับ..
ส่วนใครที่อยากเดินทางไปยังกรุงย่างกุ้ง พม่า สามารถเดินทางไปได้แบบ เช้าไป เย็นกลับได้ ซึ่งทุกวันนี้ มีหลายสายการบินที่มุ่งหน้าสู่กรุงย่างกุ้ง ในราคาไม่แพง เหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญทุกท่านที่อยากไปสร้างเสริมสะนสมบุญบารมีลองไปกันดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เรานั้นจะหาโอกาศไปได้ยาก ยกเว้นผู้มีบารมีแรงกล้าและตั้งใจมั่นจริง ๆ ที่จะไปลองดูกันครับ..
@@@@@@@@@@
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น