25 ต.ค. 2562

หลวงปู่จอม นาคเสโน วัดภูจำปา อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ

ครั้งหนึ่งที่ได้ไปกราบหลวงปู่จอม นาคเสโน พระอริยะผู้มีวิถีสมถะเรียบง่าย

โดย..ณ  วงเดือน



             หลายปีมาแล้วผมได้ยินกิตติศัพย์ชื่อเสียงของหลวงปู่จอม นาคเสโน จ.อำนาจเจริญ  พระผู้เป็นอริยะสงฆ์ผู้มีชีวิตเรียบง่าย ซึ่งไม่ยึดถือในลาภสักการะ มีความเมตตาต่อลูกศิษย์ลูกหาและให้การต้อนรับต่อญาติธรรมไม่แยกชั้นวรรณะ โดยทางผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาศได้เข้าไปกราบไหว้และสนทนากับหลวงปู่ ในครั้งที่ท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดภูจำปา  แห่งนี้ จึงขอนำเรียบเรียงไว้เป็นความทรงจำและระลึกถึงหลวงปู่ ผู้จากไปให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป

         ในครั้งนั้นผมได้ยินมาว่าหลวงปู่จอม นาคเสโน ได้มาอยู่ปฎิบัติธรรมและจำพรรษาที่ วัดภูจำปา  ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่ที่
8 บ้านภูจำปา ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ อยู่ห่างจากเทศบาลตำบลนาหมอม้า ประมาณ 8 กิโลเมตร   ที่วัดนี้  มีลักษณะเป็นภูเขาเตี้ยๆถ้าหากไม่เดินเข้าไปใกล้ๆจะมองไม่เห็น มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในถ้ำบนภูจำปา ซึ่งมีความสูงจากพื้นถึงยอดภูประมาณ 30 เมตร บนเนื้อที่ 150 ไร่ เดิมเป็นสถานที่พระธุดงค์ใช้ปักกรดพักอาศัย เพื่อปฏิบัติธรรมเป็นการชั่วคราว

 ต่อมามีพระสงฆ์นิยมมาจำพรรษาอยู่เป็นประจำ พุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงได้ร่วมใจกันก่อสร้างพระพุทธรูปไว้สักการบูชา และได้สร้างพระไม้พระครั่ง สะสมไว้ในถ้ำเป็นจำนวนมาก ภูจำปา ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ เช่น หินสามก้อน พระพุทธรูปไม้แกะสลัก ต้นจำปาที่เกิดบริเวณหินดาน ผู้คนนิยมไปทำบุญ เสี่ยงโชค พักผ่อน ท่องเที่ยวชมธรรมชาติ เสี่ยงชะตาชีวิตและด้านความรัก คือ ตั้งจิตอธิษฐานแล้วปลูกต้นจำปาในบริเวณวัด บนลานหินดาน ถ้าต้นจำปาที่ปลูกไว้ไม่ตาย แสดงว่าคำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง เป็นสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาว ซึ่งชาวบ้านตำบลนาหมอม้าและตำบลใกล้เคียงได้ร่วมกันจัดงาน สรงน้ำพระถ้ำภูจำปา ในวันที่ 17 เมษายน ของทุกปี โดยจะจัดงานช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ ประกอบกับธรรมชาติบนภูเขาอยู่ในช่วงที่ดอกจำปา หรือดอกลีลาวดี กำลังออกดอกขาวบานสะพรั่ง ตามลานหินและดงไม้เต็มไปหมด จึงสร้างความสวยงาม ประทับตา ประทับใจแก่ผู้ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นแรงดึงดูดใจอีกสิ่งหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้ขึ้นไปสรงน้ำพระถ้ำบนภูเขา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ยังได้ชมความสวยงามตามธรรมชาติของดอกจำปาอีกด้วย
พระครูอาทรธรรมวินัย “หลวงปู่จอม นาคเสโน” เกิดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2463  ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 11  ปีวอก ในตระกูลชาวนา ที่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 7  บ้านดอนดู่ ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ 
จบประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านคำสร้างบ่อ อ. อำนาจเจริญ 
      หลวงปู่จอม นาคเสโน ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ คือ บรรพชา-อุปสมบท  โดยมี ท่านพระครูทัศนประกาศ ( บุ จนฺทสิริ อดีตเจ้าอาวาสวัดสำราญนิเวศ จังหวัดอำนาจเจริญ​ ​ท่านเป็นเจ้าอาวาสและอุปัชาย์​ที่วัดนี้ระหว่าง พ.ศ.๒๔๘๔-๒๕๑๗) เป็นพระอุปัชฌาย์,ให้กับหลวงปู่จอม, มี ท่านพระอาจารย์ขาล ญาณปญฺโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์และมี ท่านพระอาจารย์สาร สาทโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ ว่า    " นาคะเสโน แปลว่า ผู้ประเสริฐสมควรแก่การกราบไหว้   หลังจากการบวชแล้ว ท่านก็ศึกษาพระปริยัติธรรม จนสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พศ.2486   และศึกษาธรรมกรรมฐานควบคู่การปฏิบัติตามแนวสายอาจารย์ที่มีอยู่ในยุคนั้นไปด้วย 
          ในสมัยนั้น มีครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ออกจาริกผ่านมามิได้ขาดในเขตอำเภออำนาจเจริญ เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย (วัดบ่อชะเนง อำเภอหัวตะพาน) ก็ถือว่าอยู่ไม่ไกลจากวัดบ้านดอนดู่ และครูบาอาจารย์อีกหลาย ๆ รูปในแถบอีสานศรัทธาเลื่อมใสพระปฏิบัติสายพระธรรมยุติ คือ สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นอย่างมาก จึงได้อุปสมบทในสายพระธรรมยุติ เมื่ออายุ 37 ปี 
           พิจารณาเห็นว่า การปฏิบัติธรรม การนั่งสมาธิ การเดินธุดงควัตร เป็นหนทางแห่งความสงบ ความสำเร็จ จึงได้เดินทางไปกราบนมัสการ ครูบาอาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และตระเวรธุดงค์ไปกราบนมัสการ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่แหวน สุจิณโน ได้ทราบข่าวว่า พระองค์ไหนมีชื่อเสียงก็เดินทางไปพบเพื่อศึกษาเวทย์วิทยาและได้รับพระคาถาอายุยืน “อายุวัฒนะ” จากหลวงปู่พลเอกหลวงศรี ที่ จังหวัดสกลนคร 

งานปกครอง ในงานปกครอง การปฏิบัติงานช่วยคณะสงฆ์หลวงปู่ท่านได้รับความไว้
วางใจจากเจ้าคณะผู้ปกครอง ให้ช่วยงานในด้านปกครอง ตามประวัติ                                                               ดังต่อไปนี้  ปี พ.ศ.๒๕๑๙-๒๕๒๓ เป็นประธานสงฆ์ วัดบ้านหนองเรือ ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ 
ในปี  พ.ศ.๒๕๒๔-๒๕๒๘    ได้ เป็นประธานสงฆ์ สำนักสงฆ์ภูจำปา ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ (ปัจจุบันได้ประกาศตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องแล้ว) และในปี พ.ศ.๒๕๒๙-๒๕๔๕  เป็นประธานสงฆ์ สำนักสงฆ์โพธิสมภรณ์  ซึ่งปัจจุบันเปลื่ยนชื่อเป็นวัดป่าบ้านดอนดู่  ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ และ ได้เป็นเจ้าอาวาส วัดบ้านดอนดู่ หมู่ที่ ๗ ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
ได้รับสมณศักดิ์พัดยศทางคณะสงฆ์  เมื่อปี  พ.ศ.๒๕๕๓ ได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์ และพัดยศ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชท.วิ) ในราชทินนามที่ “พระครูอาทรธรรมวินัย”

          โดยได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมาอย่างเคร่งครัดกระทั่งปัจจุบัน  หลวงปู่จอม นาคเสโน ออกปฏิบัติธรรมในสถานที่วิเวกมาตลอดชีวิต กระทั่งปี พ.ศ. 2533 ได้มาปฏิบัติธรรมอยู่วัดภูจำปา ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เจ้าคณะจังหวัด (ธ.) จึงได้นิมนต์กลับมาจำวัดที่บ้านเกิด คือ วัดป่าโพธิสมพร ในปี พ.ศ. 2547
       ต่อมา สำนักสงฆ์โพธิสมภรณ์  ได้เปลี่ยนชื่อ เป็นวัดป่าบ้านดอนดู่  เพราะตั้งอยู่ในบริเวณบ้านดอนดู่  หลวงปู่จอม นาคเสโน ดูแลและเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านดอนดู่ ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ  ซึ่งทั้งสองวัดทั้งวัดภูจำปา และวัดป่าบ้านดอนดู่ เป็นวัดบ้านเกิดของท่าน ที่ท่านเป็นผู้ดูแลปกครอง    หลวงปู่ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2560 ณ วัดบ้านดอนดู่ ต.น้ำปลีก อ.เมือง จ.อำนาจเจริญเวลา 13.19 น. ด้วยโรคชรา สิริอายุ 99 ปี 9 เดือน 7 วัน พรรษา 45  ทางผู้เขียนที่เคยครั้งหนึ่งได้ไปกราบไหว้หลวงปู่ถึงที่ ขอกราบถวายความอาลัยอย่างเคารพยิ่ง และขอบันทึกไว้เป็นความทรงจำไว้ ที่นี้เพื่อให้ได้รับรู้ ความเป็นมาและอยู่ในความทรงจำตลอดไป..


@@@@@@@@@@@@@@@

24 ต.ค. 2562

ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่พระพุทธบาทเขาพลวง จ.จันทบุรี

ครั้งหนึ่งในชีวิต ไหว้รอยพระพุทธบาท ที่ยอดเขาคิชกูฏ 

โดย.ณ วงเดือน


            ถือเป็นความทรงจำดี ๆ และความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้มีโอกาศได้เดินทาง ไปสักการะนมัสการรอยพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า  ที่อยู่บนอุทยานแห่งชาติ ยอดเขาคิชกูฏ จ.จันทบุรี  และถือว่าเป็นรอยพุทธบาท ที่อยู่สูงที่สุด ของไทยเราก็ว่าได้เพราะอยู่สูงถึง 1,050 เมตร จากระดับน้ำทะเล 
         ด้วยความที่ อยากไปท่องเที่ยวและ ไปดูคลื่นมหาชนที่หลั่งไหลศรัทธา ไปกราบรอยพุทธบาท ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในงานเทศกาล บุญประเพณีขึ้นเขาคิชกูฎ โดยในปี พศ.2563  ทางเทศบาลตำบลพลวง ร่วมกับจังหวัดจันทบุรี จัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง เขาคิชกูฎขึ้น ระหว่างวันที่ 25 มกราคม ถึง  24 มีนาคม 2563 ณ เขาคิชกูฎ โดยกำหนดการดังนี้  วันที่ 23 มกราคม 2563  ทำพิธีบรวงสรวง ปิดป่า-เปิดงานประเพณี วันที่ 24 มีนาคม 2563  พิธีบวงสรวง เปิดป่า ปิดงานประเพณี โดยสามารถติดต่อสอบบถามข้อมูลได้ก่อนที่หมายเลข 083-782-1688  หรือเฟชบุค เขาพระบาทพลวงจันทบุรี
          ส่วน ทางผู้เขียนพร้อมด้วยเพื่อน สหธัมมิก ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา คือ ท่าน มหากมล มงคลเกตุ  ร่วมเดินทางไปแสวงบุญและท่องเที่ยวในครั้งนั้นกับเขาด้วย   เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการบันทึกเรื่องราวดี ๆ ความทรงจำ ไว้ให้คงอยู่ตลอดไป เราได้ออกเดินทาง จาก กทม.ถึง บริเวณ ที่เขาวัดงานและได้ไปหาที่จอดรถที่ วัดกะทิง ซึ่งเป็นอีกวัดหนึ่งที่ร่วมในการจัดงานขึ้นเขาในครั้งนี้ด้วย โดยผู้เขียน ถึงที่วัดเกือบ 5 โมงเย็น  หลังจากหาที่จอดรถในลานวัดวัดเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางเพื่อ หาที่จะต่อรถขึ้นไปยังยอดเขาอีกทีหนึ่ง
  ก่อนอื่นขอบันทึกเรื่องราวความเป็นมาของเขาคิชกูฎ แห่งนี้ว่า ใน ปี พศ.2397  กลุ่มนายพรานกลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้ออกหาของป่าและล่าสัตว์ ไปตามเขาและยอดเขาต่าง ๆ มีพรานติ่ง พรานนำ พรานปลิ่ม ซึ่งการไปหาของป่าล่าสัตว์จะต้องใช้เวลากินนอน ในป่าเขาเป็นเวลานาน คราวละหลายสัปดาห์ เป็นเดือนก็มี  มีครั้งหนึ่งคณะของพรานติ่ง ได้หลงทาง ที่จะกลับลงมาข้างล่าง เดินวนเวียนไปมายังยอดเขาแห่งนั้น

           จนมาถึงลานหิน และได้พากันนั่งพักเหนื่อย และพูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ ยังลานหินแห่งนั้น ซึ่งเป็นแอ่งกะทะขนาดหย่อม ๆ มีหญ้าขึ้นปกคลุม ไปทั่ว ขณะนั่งพัก พรานคนหนึ่ง เอามือเท้าไปข้างหลังพักเหนื่อย ปรากฎว่า มือไปโดนสะดุดอะไรเข้าสักอย่าง จึงได้ ตรวจดู ปรากฏว่า เป็นแหวนนาค และเอามาให้กับคณะที่ล้อมวงคุยกันนั้น ทางหัวหน้าพรานคือ พรานติ่ง จึงก็เอ้ะใจว่า บนยอดเขานี้ มีใคร เอาของมีค่าขึ้นมาซ่อนไว้  จึงได้ช่วยกัน รื้อถอนหญ้า ออกยังบริเวณที่พากันนั่ง เพื่อค้าหาสมบัติอื่น ที่คาดว่าอาจจะมีหลงเหลืออยู่  แต่ก็ไม่พบ  และกลับพบว่า สถานที่พากันนั่งนั้น หลังจากถอนหญ้า ออกหมดเพื่อหาของมีค่า กลับพบรอยเท้าประหลาดขนาดใหญ่ แทนด้วยความกลัว จึงพากันก้มกราบ ด้วยเชื่อกันว่าคงเป็นรอยเท้าของผู้มีฤทธิ์เดช  จึงขอขมากัน แล้วก็พากันกลับลงที่พักได้อย่างน่าอัศจรรย์
                  ต่อมาหลายปี คณะของพรานติ่งได้บวชลูกหลาน ได้พากันไปฝากที่วัดพลับ  ซึ่งอยู่ในตัวเมือง  ซึ่งต้องเดินทาง ไปยังวัดใช้เวลานาน ถึง 2-3 วันกว่าจะถึง ซึ่งที่วัดมีงานประจำปี พอดีมีการจัดฉลองและ ปิดรอยเท้าพุทธบาทจำลอง  ซึ่ง พรานติ่งเมื่อเห็นรอยพระบาทจำลอง  จึงได้เล่าให้คนที่อยู่ดูแล รอยพระบาทจำลองนั้นว่า รอยเท้าแบบนี้ ตนเองเคยเห็นบนยอดเขาสูง  จากนั้น ทางวัดได้นำ พรานติ่งมาพบกับ หลวงพ่อเจ้าอาวาส คือหลวงพ่อเพชร เพื่อเล่ารายละเอียดถึงริยเท้าที่พบมา จนกระทั่งหลวงพ่อเพชร และคณะพรานติ่ง ได้พากันไปพิสูจน์ รอยเท้าว่าเป็นจริงอย่าง ที่ว่ามาหรือไม่  เมื่อพากันไปถึงยังจุดที่คณะพรานติ่ง พบรอยเท้านั้น
              หลวงพ่อเพชร ถึงกับอุทานว่า  เป็นบุญลาภของชาวจันทร์ ที่ได้มีสิ่งอันล้ำค่าอย่างนี้ จากนั้นพากันกราบไหว้ บูชาสวดมนต์และพักกันยังที่นั้น จนได้ลงมาเพื่อปรึกษาว่า จะมีการทำพิธีสักการะรอยพระบาท ให้เป็นประเพณีสืบไป จากนั้นหลวงพ่อเพชร จึงเป็นผู้นำประเพณีไหว้รอยพระพุทธบาทเกิดขึ้น โดยจะนำพาคณะลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ขึ้นมากราบสักการะนมัสการ ทุกปีๆ ละครั้ง
               มาถึง ปี พศ.2510 ทางคณะสงฆ์มอบหมายให้ พระครูพุทธบทบริบาล หรือหลวงพ่อนัง อดีตเจ้าอาวาสวัดพลวง ขณะนั้น เป็นผู้ดูแล ประเพณีขึ้นเขาสักการะรอยพุทธบาท  ซึ่งการเดินทางขึ้นงลง เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะการเดินทางไม่สะดวกเหมือนปัจจุบันนี้ โดยมีการ เปิดงานนมัสการรอยพุทธบาท เพียงแค่ 7 วัน 7 คืนเท่านั้น และท่านก็ได้มอบหมายให้หลวงพ่อหลายองค์ ช่วยกันจัดงานประเพณี ขึ้นเขาสักการะรอยพุทธบาท 
               แต่ก็ หลายท่านทำไม่ไหว ทางหลวงพ่อนัง จึงได้ ร่วมกับพระเถระหลายวัด ให้ช่วยกันสืบสานรักษาประเพณีนี้ไว้  โดยให้ร่วมกันบริหารในรูปของคณะสงฆ์ โดยมีรายชื่อ สมัยแรกๆ ดำเนินการดังนี้  1.พระครูพุทธบทบริบาล ( ท่านพ่อนัง  ) เป็นประธานที่ปรึกษา
2.พระครูธรรมสรคุณ ( ท่านพ่อเขียน ) ประธานดำเนินงาน
3.พระครูโกศลธรรมรัตน์ ( ท่านพ่อแหย๋ม )  กรรมการ
4.พระครูเกษมธรรมาภิราม ( ท่านพ่อเนียน )  กรรมการ
5.พระครูประดิษฐ์ ศาสนการ (ท่านพ่อนง ) กรรมการ
              เมื่อทางคณะสงฆ์ได้มอบหมายให้ทำงานเป็นคณะเพื่อสืบสานดูแลประเพณี ขึ้นเขาสักการะลอยพุทธบาท จึงได้เริ่มมีผู้คนหลั่งไหลมากมายขึ้นอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็ด้วยมุมานะ อดทนของหลวงพ่อเขียน ได้ทำให้เจริญขึ้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงได้ขอเอามากล่าวบันทึกไว้เป็นที่มาที่ไปด้วยในครั้งนี้
      เมื่อเราเดินทางขึ้นไปยังจุดบนสุดของยอดเขา ซึ่งจะมีจุดต่าง ๆให้เราได้กราบไหว้ขอพร ตามที่ผู้เขียนพบ คือ เมื่อเราขึ้นมายังด้านบน จุดรถที่เราต้องเปลี่ยนจุดแรก คือ จะมีที่ไหว้เจดีย์กลางแจ้ง และไหว้เจ้าแม่กวนอิม  พระพรหม พระพิฆเณศวร แม่โพสพ และ บาตรแห่งโชคลาภ
            ก่อนที่เราจะมาถึงจุดหมายที่ 2 บนสุดแล้ว เราจะต้องผ่านด่านจุดแรก ที่ต่าง ๆ ซึ่งมีจุดที่ให้เราได้ไหว้พระตามรายทางต่างๆ   ตลอดทางขึ้นมา  คือ มีจุดไหว้พระสิวลี พระแม่ธรณีบีบหมวยผม จุดที่ตั้งท้าวเวสสุวรรณ  ท้าวพิเภก  และก็จุดพักขึ้นประตูสวรรค์ มีจุดไหว้พระป่าเรไร ไหว้พระพหรม และเคาะระฆัง                       ด้านบนนี้ หลังต่อรอคิว เพื่อนมัสการรอยพระบาท ซึ่งลานลอยพุทธบาทนี้ด้านบนจะเป็นรอยพุทธบาทที่หมายที่หลายคน เฝ้าคอยมากราบไหว้ที่แห่งนี้ โดยเป็นรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่ กว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร  หากเรามองจากด้านนอกจะเห็นหินก้อนใหญ่ตั้งเด่นตระหง่าน ด้านหน้าก้อนหิน จะมีกรอบสี่เหลี่ยม นั้นคือรอยพระพุทธบาท เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า
                 ปลายพระบาท อยู่ทางด้านลาดต่ำ  รอบสถานที่รอยพระบาทปรากฏ ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เราได้เข้าไปกราบเป็นที่เรียบร้อย  ซึ่งมีผู้คนหลั่งไหลแออัดยัดเยียดกันมาก ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอย กันเป็นแถว ๆ เพื่อให้ผู้มาแสวงบุญ ได้เข้าไปสักการะยังรอยพุทธบาทได้เท่าเทียมกันทุกคน   หลังจากที่เราได้คิวเข้าสักการะรอยพระพุทธบาท เสร็จแล้ว
จึงได้พากันออกมา เพื่อจะขึ้นไปต่อยังจุดผ้าแดง ที่นี่ จะให้เขียนชื่อสกุล แล้วอธิษฐานตามใจปรารถนา หนึ่งครั้ง ต่อหนึ่งปี ต่อหนึ่งพร ที่เขาบอกว่า ขอแล้วจะสมหวังดังใจต้องการ ก็รอไปพิสูจน์กันดูครับ
 



                                                 @@@@@@@@@@@@@@@@@@




วัดพระเหลาเทพนิมิต อ.พนา จ.อุบลฯ

พระพุทธรูปงดงามดั่งเทพนิมิตไว้ พระคู่เมืองพนา จ.อำนาจเจริญ

โดย.ณ  วงเดือน


          ที่วัดศรีโพธิชยารามคามวดี คือวัดที่ตั้งอยู่ในอำเภอพนา เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นวัดพัฒนามีความสวยงามมาก ตลอดทั้งวัดนี้ ยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ชื่อว่า "พระเหลาเทพนิมิต "  ด้วยความบังเอิญและมีวาสนา ที่ได้มีโอกาศได้เข้าไปกราบไหว้ขอพร และชมบารมีความงดงาม ทั้งอุโบสถและ องค์พระพุทธรูป ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่ได้ไปเยือนและ ชมความงดงามของวัดแห่งนี้
   ทางผู้เขียนเคยเดินทางและผ่านยังอำเภอพนา นี้มาเมื่อกว่าจะ 20 ปีมาแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาศ ได้เข้าชมและกราบไหว้เลยสักครั้ง คงด้วยบุญบารมียังไม่ถึง จึงได้แค่ผ่านแล้วก็เลยไป จนกว่า 20 ปีคืนหลัง ถึงได้มีวาสนาได้เข้าไปกราบไหว้ ชมความงามและกราบไหว้เสริมบารมี เสริมโชคลาภชะตาให้สูงขึ้น และได้มีโอกาศ เขียนบันทึกเรื่องราวไว้เป็นความรู้และได้อยู่ในความทรงจำต่อไปตราบเท่านาน   วัดพระเหลา ที่ด้านหน้าของอุโบสถ มีป้ายหินอ่อนสลักความเป็นมา ของวัดนี้คร่าว ๆ ดังนี้

      พระครูธิ ภิกษุแก้ว ภิกษุอิน สร้างวัดขึ้นใน พศ.2254 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เดิมชื่อวัด" ศรีโพธิ์ชยารามคามวดี" ริมบึงใหญ่กุดพระเหลา เป็นแดนอภัยสัตว์ เพาะพันธุ์ปลาธรรมชาติ ออกแพร่พันธุ์ ทั่วท้องเมืองพนา และบ้านใกล้เคียง ได้สร้างโบสถ์และพระประธานใน ปี พศ.2263 ฐานและผนังก่อด้วยอิฐถือปูน เสาไม้เนื้อแข็ง กลม หลังคามุงด้วยกระดานไม้
              ปัจจุบันก่อด้วยอิฐถือปูน หน้าบันลายเถา ตรงกลางราหูอมจันทร์ หนุมาน ประตู 3 ช่อง เป็นซุ้มคล้ายปราสาท ได้ซุ้มมีรูปพญานาค ขนาด 9.80 x 15.5 เมตร พระครูธิเจ้าอาวาสให้ภิกษุแก้ว ภิกษุอิน สร้างพระประธาน พระซาพรหม เป็นผู้ขัดเกลาหล่อเหลาให้งดงามยิ่ง ชาวบ้านตั้งชื่อว่า "พระเหลา " ราว พศ.2441  พระอุบาลีคุณูปมาจารย์  (  สิริจนฺโทจันทร์   ) จึงเสริมนามวัด และพระเหลาต่อท้ายว่า วัดพระเหลาเทพนิมิต และพระเหลาเทพนิมิต พระพุทธรูปปางมารวิชัย  ขนาดหน้าตักกว้าง 2.80 เมตร สูง 2.70 เมตร กรอด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทอง ตรงกลางแท่นรูปนางธรณีรีดมวยผม  พุทธลักษณะตามแบบศิลปะลาว  สกุลช่างเวียงจันทร์  ใช้เวลาก่อสร้างโบสถ์และพระประธาน 13 ปี 7 เดือน 3 วัน สิ้นเงิน 5 ชั่ง 5 ตำลึง 2 ลาด
                      พระเหลาเทพนิมิต เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์  สวยงามคู่บ้านคู่เมืองพนา ลือเลื่องทั่วฟ้าปฐพี  อยู่ในใจของชาวพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ประสบโชคเมื่อมาขอพร เป็นพระอยู่ในเส้นทางแสวงบุญ ท่องเที่ยวไทยเป็นประจำ มิได้ขาด งานประจำปีนมัสการพระเหลาเทพนิมิต  วันเพ็ญเดือนสาม พุทธศาสนิกชนทุกสารทิศ จะมาขอพรด้วยการบนบานสารกล่าว และแก้บนนมัสการองค์พระเหลาเทพนิมิต บำเพ็ญบุญเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตตลอดไป "    นี่เป็นคำจารึกบนแผ่นหินอ่อนสีดำ ไว้ด้านหน้า อุโบสถ เล่าถึงความเป็นมาของการก่อสร้างวัดแห่งนี้

  และในปี พศ.2515 อุโบสถได้ชำรุดทรุดโทรม จึงได้เปลี่ยนเป็นหลังคากระเบื้องแทน  หน้าบันไดด้านตะวันออก ทำด้วยไม้สลักลวดลายต่าง ๆ  ห้องกลางมีลายเถาว์ไม้เต็มห้อง  ตรงกลางเป็นราหูกลืนจันทร์  กล่าวกันว่า พระเหลาเป็นพระพุทธรูป ที่งดงามที่สุดในภาคอิสาณ  เวลาเข้าไปกราบท่านจะคล้าย กับว่าท่านจ้องมองยิ้มแย้มต้อนรับ กับผู้มาเยี่ยมเยือนทุกคน  เหมือนกับว่า ท่านถูกหล่อหลอมเหลามาด้วยมือ จึงได้งดงามยิ่งนัก  นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าลือว่า ทุกวันพระ 7 ค่ำ 8 ค่ำ 14และ 15 ค่ำ  องค์พระเหลาเทพนิมิต  จะมีลำแสงสีเขียวแกมขาว ลอยล่อง ออกมาจากอุโบสถในเวลา ยามดึกสงัด  และเชื่อกันว่า ใครก็ตาม ที่มาขอพร มักประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจไว้
สำหรับผู้เขียน ก็นำข้อมูล ตามที่ได้รับรู้มาและของทางวัด ที่ให้รายละเอียดไว้มาเล่าที่ตรงนี้ ไว้เป็นความรู้
   ซึ่งความงดงาม ทั้งโบสถ์ที่ประดิษฐานองค์พระเหลา ก็มีความสวยงาม ดั่งเทพวิมานสวรรค์ และโดยรอบ โบสถ์ มีใบเสมา ล้อมรอบ 24 ใบ  มีความสวยงามมาก เช่นเดียวกับองค์พระเหลา ที่มีความงดงาม อยากจะหาที่เปรียบใดๆ ในภาคอิสาณ  นอกจากนี้ข้างๆ กัน ยังมี ศาลาการเปรียญ หรือที่ชาวบ้านภาคอิสาณ เรียกว่า หอแจก  ซึ่งก่อสร้างขึ้นเมื่อ  พศ.2463  ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้ามาทางทิศตะวันออก อาคารก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนหมัก ฐานขันปากพานโบกคว่ำ โบกหงาย หลังคาทรงปั้นหยา หน้าจั่วปีกนก และสองข้างบรรไเ ทางขึ้น ตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปพญานก คาบนาค นอกจากนี้ยังมีตัวมอมลูกอ่อน ภายในศาลาโล่ง ความมีเสน่ของการก่อสร้างแบบสมัยสกุลช่างลาวเวียงจันทร์ โบราณยังสามารถมาดูความงดงามที่ยังหลงเหลืออยู่ ในสมัยปัจจุบันนี้ได้
                          นอกจากนี้ยังมีพระอุปคุต อยู่ด้านหน้าอีกองค์ ให้ผู้คนได้กราบขอโชคลาภกันอีกด้วย
บันทึกท่องเที่ยวขอ บันทึกไว้ในความทรงจำอีกวัดหนึ่งในความทรงจำตลอดไป..


@@@@@@@@@@@@@@

23 ต.ค. 2562

เสมาพันปี วัดโพธิศิลา อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ

ตามดูร่องรอยอารยธรรมพุทธศาสนา เสาเสมา อายุหลายพันปี

โดย.ณ  วงเดือน


           เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  ได้เดินทางผ่านเส้นทาง ถนนสายพนา -ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ  ได้เห็นป้ายแสดงข้อความถึงเสาเสมา ทางพุทธศาสนา ที่อยู่ทางเข้าของหมู่บ้านเปือยหัวดง  ต.เปือย อ.ลืออำนาจ  

               และเห็นมีความน่าสนใจ ที่ว่ามีอายุหลายพันปี จึงได้ตกลงใจที่จะขับรถเข้าไปดู ถึงแม้ว่าในขณะนั้นน้ำมันรถ เริ่มขึ้นขีดแดงเตือนแล้ว แต่ด้วยความใคร่รู้สนใจ จึงยอมขับเข้าไปชมก่อนที่จะหาปั้มน้ำมันทีหลัง  จากถนนสายพนา-ลืออำนาจ ด้านขวามือ มีป้ายชี้บอกว่า เสาเสมาพันปี วัดโพธิศิลา ได้เลี้ยวรถเข้าไปประมาณ 800 เมตร จากถนนใหญ่ ตรงข้ามขวามือของวัดซึ่งสถานที่นี้อยู่ในพื้นที่คาดว่า เป็นอาณาเขตของวัดด้วย ที่นี่ถือเป็นสถานแหล่งโบราณคดี ที่สำคัญอีกแห่งของจังหวัดนี้เลยทีเดียว
   เมื่อขับรถเข้าไป พบว่ามีความสงบร่มเย็นมากพอสมควร โดยวัดแห่งนี้มีต้นโพธิ์ อยู่เป็นจำนวนมากเลยได้ชื่อว่าวัดโพธิ์ศิลา ต่อด้วย นั้นเอง  ซึ่งประวัติว่า วัดนี้สร้างมาเมื่อปี พศ.2400
มีพื้นที่ ซึ่งเสาเสมาตั้งอยู่ มีอาณาเขตไม่กว้างมากนัก มีทางขึ้นเดินขึ้นไป ไม่กี่ขั้น มีราวบันไดพญานาค สองข้างขึ้นไปซึ่งคาดว่า บันไดสร้างขึ้นในเวลาไม่นานนัก  ด้านบน จะเป็นที่ตั้งของเสาเสมาหินทราย ปักอยู่  ที่มีใบเสมาใหญ่ 2 ใบ และเสาเสมาเล็กๆ อีกเรียงรายกันไป และมีป้ายหินอ่อน ขนาดเล็กๆ ปักไว้ด้านหน้าเสา บอกเรื่องราวอายุ ของเสาเสมา เหล่านี้ว่า มีอายุการสร้างน่าจะอยู่ในช่วง พุทธศตวรรษ ที่ 12-13 ซึ่งใบเสมาหินทรายนี้ มีการสลักเป็นลวดลาย


                                  สวยงามปราณีตมาก เป็นรูปหม้อน้ำ และแกนยาวกลางใบเสมาเป็นคล้ายมีดพระขรรย์ชัย  บงบอกถึงความเจริยญเดียวกันกับยุคของอินเดียแบบอมราวดี  ซึ่ง ยังทราบเป็นข้อมูลมาอีกว่า เสาใบเสมาทางพุทธศาสนา คล้ายกันนี้ มีอยู่พื้นที่ใกล้เคียงกันนี้ หลาย จุดด้วยกัน
 คาดว่า คงย้ายมาจากที่แห่งเดียวกันนี้ นั้นคือ ใบเสมา ที่ตั้งอยู่ที่วัดป่าเรไร  บ้านเปือยหัวดง และ ใบเสมาที่หลังโรงเรียนเปือย  นอกจากนี้ยังขุดพบ หม้อดินเผาขนาดใหญ่ ลายเชือกทาบ ข้างในใีการบรรจุพระพุทธรูปบุเงินแท้ องค์เล็กๆ อยู่จำนวนมากอีกด้วย  ด้านหน้าของที่ตั้ง มีป้ายบร์อดขนาดใหญ่แสดงภาพถ่ายเรื่องราว และความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ได้รับรู้ที่มาที่ไป และข้อมูลเป็นอย่างดี ได้รับรู้ถึงอารยธรรมของพุทธศาสนา ที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาแล้วในครั้งอดีตยาวนาน ถึงพันปีเลยก็ว่าได้  บันทึกท่องเที่ยว ถือว่าได้มีโอกาศไปเยี่ยมเยือนและชมความงดงามอารยธรรมโบราณแบบมีมนต์ขลัง เลยก็ว่าได้ จึงขอบันทึกไว้ในความทรงจำต่อไ