16 ก.ค. 2563

ข้ามโขงไปกราบพระธาตุอิงฮัง สะหวันนะเขต สปป.ลาว

โดย.ณ วงเดือน

     เมื่อปีที่แล้ว บันทึกเที่ยวในความทรงจำ ได้มีโอกาศเดินทางข้ามไปยัง เมืองไกสอนพรหมวิหาน สะหวันเขต สปป.ลาว เพื่อไปเที่ยวชม วัดวาอารามและไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่่ชาวลาวนับถือกันมากอีกแห่งหนึ่งนั้นก็คือ พระธาตุอิงฮัง ซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุในการก่อสร้างไล่เลี่ยกันกับพระธาตุพนม ของไทย
สถานที่นี้เป็นที่เคารพสักการะของชาวพุทธ ทั้งลาว และไทยตลอดจนนักท่องเที่ยวทั่วไปที่นับถือพุทธศาสนา ต่างก็มักมาแสวงบุญและท่องเที่ยวกันที่นี่ เราใช้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว มุกดาหาร หลังทำพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย เราขับรถเข้าสู่เมืองลาวทันที
ในครั้งนี้เรามุ่งหน้าตั้งใจ มาที่พระธาตุอิงฮัง เป็นการเฉพาะ  เมื่อเราขับรถเข้ามาถึงฝั่งลาวประมาณ เกือบหนึ่งกิโลเมตรจะพบกับ วงเวียนไดโนเสาร์ แล้วเลี้ยวซ้ายมือ ไปตามทางหลวงหมายเลข 13 ขึ้นมา ทางเมืองเซโน บ้านโพนสิม ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร เจอป้ายบอกทางเข้าพระทาดอิงฮัง แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีก ประมาณเกือบ 2 กม.

ทางเข้าไปสู่พระทาดอิงฮัง ขณะกำลังพัฒนาในช่วงที่เข้าไปในตอนนั้น ยังเป็นทางลูกรังอยู่ ซึ่งก็ถือว่าสะดวกพอสมควร ใช้เวลาขับรถเข้ามาไม่ถึง 5 นาที ก็มาถึงลานจอกรถด้านหน้า องค์พระทาด เสียค่าจอดอีก ประมาณ 2,000 กีบ และเมื่อจะเข้าไปด้านในองค์พระทาดอิงฮัง ก็เสียค่าเข้าไปอีก ชาวลาว 2,000 กีบ ต่างชาติ 5,000 กีบ ซึ้งโดยรอบองค์พระธาตุจะสร้างเป็นกำแพงโดยรอบ มีประตูทางเข้าหลายด้าน

เมื่อเข้ามาแล้วด้านในจะมี ขันหมากเบ็งขายให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเอาไปบูชา องค์พระทาดอิงฮังอีกด้วย ขายอยู่บริเวณทางเข้าองค์พระทาดนั้นเอง และรอบผนังกำแพงของพระะธาตุด้านใน ยังมีพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ เรียงรายโดยรอบ ทั่วกำแพงหลายร้อยองค์เลยทีเดียว

ในบันทึกเรื่องของการสร้างพระธาตุอิงฮังนี้ ที่เป็นข้อมูลของชาวลาว ได้บันทึกไว้เป็นภาษาลาวว่า " พะทาดอิงฮังเป็นเจดีที่บันจุกะดูกของสมเด้ดพะพุดทะเจ้า ส้างขึ้นเมื่อปี พ.ส. 500 เพื่อเป็นอะนุสอนไว้ว่าคั้งหนึ่งพะพุดทะเจ้า ได้มาโผดสัดในดินแดนสุวันนะพูมแห่งนี้ และได้นั่งสันเข้าอิงต้นฮังยู่ จึ่งใส่ชื่อว่า " ทาดอิงฮัง "

ซึ่งบันทึกท่องเที่ยวในความทรงจำ ในการได้มาเยือนกราบไหว้องค์พระธาตุอิงฮัง เมืองสะหวันนะเขต ในครั้งนี้นั้น จึงขอนำเรื่องราวการสร้างพระธาตุและความเป็นมาในที่ต่าง ๆ มาบันทึกไว้เป็นความรู้ของผู้เขียนอีกด้วย ซึ่งการบันทึกเรื่องราวก็มีความแตกต่างกันออกไป ต่างได้ความรู้ในมุมมองต่างกัน และดูอีกบันทึกหนึ่งขององค์พระธาตุอิงฮังนี้ว่า

ในประวติการสร้างพระธาดุอิงฮัง นี้สร้างขึ้นราว พ.ศ. 400 ในสมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร มีความสูง 25 เมตร ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนโบราณ ฐานรอบองค์พระธาตุกว้างแต่ละด้าน 9 เมตร มีประตูเข้าภายในองค์พระธาตุ ทั้ง 4 ด้าน และรอบด้านขององค์เจดีย์ มีภาพแกะสลักนูนต่ำ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับการบูรณะในสมัยอาณาจักรล้านช้าง และสมัยฝรั่งเศสปกครอง

องค์พระธาตุได้รับการบูรณะมาในหลายสมัย ในครั้งรัชสมัยของพระเจ้าฟ้างุ้ม ช่วงปี พศ.1892 เมื่อพระองค์รวบรวมอาณาจักรลาว ให้เป็นปีกแผ่น พระองค์ก็ได้ทำนุบำรุงองค์พระธาตุให้มีความสวยงามเจริญขึ้นมากในยุคพระองค์
และในปี พศ.2492 ประชาชนชาวลาว ร่วมแรงร่วมใจสละเงินทุนทรัพย์ พัฒนาพระธาตุอิงฮัง ด้วยการขยายอาณาพื้นที่สร้างเป็นกำแพงโดยรอบและ สร้างประตูโขง สร้างศาลาโรงธรรม ให้กับผู้มากราบไหว้บูชาได้มีที่พักพิง ทำพิธีกรรมของทางวัด อีกด้วย



โดยรอบขององค์พระธาตุ มีการแกะสลักลายนูนต่ำอย่างสวยงาม และภายในองค์พระธาตุนี้ ได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนกระดูกสันหลังของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ภายใน

ในทุกวันทางวัดพระธาตุอิงฮังจะเปิดให้กับผู้คนได้เข้าไปเที่ยว และกราบไหว้ขอพรกัน ตั้งแต่เวลา 08.00 จนถึงเวลา 16.30 น. และในทุกปีจะมีการจัดงานนมัสการองค์พระธาตุในช่วงเดือน ธันวาคม ในงานมีขบวนแห่เทียน การฟ้อนรำถวายองค์พระธาตุอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนนับหมื่นๆ ร่วมงานอย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี




ในการได้มาเยือนองค์พระธาตุอิงฮังในครั้งนี้ จึงขอบันทึกทุกเรื่องราวความเป็นมา ไว้ในบันทึกท่องเที่ยวในความทรงจำ ของผู้เขียน ได้รับรู้ประเพณีอันดีงาม ศิลปะวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ได้ไปเยือน มาบันทึกไว้เป็นความรู้ทรงจำดี ๆ ให้คงอยู่ตลอดไป..

กราบพระธาตุโพน เมืองไชพูทอง สปป.ลาว

โดย.ณ  วงเดือน
เมื่อปีก่อน บันทึกท่องเที่ยวในความทรงจำ  ได้มีโอกาศไปเที่ยวสะหวันนะเขต สปป.ลาว และได้ไปกราบพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองลาวอีกแห่ง นั้นคือวัดเจติยาราม หรือพระธาตุโพน ตั้งอยู่เมืองไชพูทอง เป็นอีกพระธาตุที่ชาวลาว ให้ความเคารพนับถือกันมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระธาตุอิงฮัง แต่อย่างใด
  ในการเดินทางมาในครั้งนี้ ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จ.มุกดาหาร ซึ่งเมื่อเราขับข้ามเข้ามาสู่ฝั่งลาวแล้ว จะเจอวงเวียนกะปอมยักย์ หรือไดโนเสาร์  ใช้ทางออกด้านขวามือ เพื่อมุ่งสู่พระธาตุโพน เราขับรถผ่านเลี่ยงตัวตลาดสะหวันนะเขตมา ใช้เส้นทาง สาย 9 B จากตัวเมืองมาถึงบ้านหลัก 35 ระยะทางกว่า 35 กม.
จากนั้นเลี้ยวขวามาตามทางอีกประมาณ 15 กม. ถนนตัดผ่านท้องนาไร่ขับมาเรื่อย ๆ ขนถึงเมืองไชพูทอง แล้วขับรถต่อมาอีกเกือบ  20  กม. ก็จะมองเห็นพระธาตุโพนอยู่กลางท้องนา สลับกับต้นตาลตะโนดสูงลิบลิ่ว  มองเห็นได้แต่ไกลเลยทีเดียว
พระธาตุโพน ตามที่มีการเขียน ก็มีหลายชื่อเช่น โพน ,โฟน,  โผ่น ทราบมาว่า พระธาตุแห่งนี้ เดิมเป็นปราสาท สร้างมาแต่สมัยที่ขอมยังเรืองอำนาจ แผ่อาณาจักรมาถึงแถบนี้ด้วย

มีศิลาจารึกเป็นภาษาลาว ไว้ว่า  " พะทาดโผ่น หลือ เจ้าแท่นคำเหลือง เมืองไชพูทอง แขวงสะหวันนะเขต ตั้งอยู่ห่างจากเทสะบานเมืองไชพูทอง 22 กิโลแม็ค ตามเส้นทางเลกที่ 13 ใต้ มุ่งหน้าสู่แขวงจำปาสัก ตามตำนานได้ก่าวไว่ว่า " พะทาด อง นี้ส้างขึ้นในตอนค่ำ ของวันพุด เดือน 12 พส.236 

ส้างด้วยหินเข่าจี่หลือ เอิ้นว่า หินหนามหน่อ ก่อเป็นทาดอุโมง (ฮูปโอขว้ำ ) กว้างด้านละ 12 วา สร้างมื้อหนึ่ง กับคืนหนึ่ง ก็สำเล็ดมาถึงปัจจุบันนี้ มีอายุ 2,500 ปี  สะนั้นสะถานที่นี่จึงถือเป็นมอละดกตกทอด เป็นสมบัติมิ่งเมืองที่มีค่าสูง โดดเด่นทางด้านวัดทะนะทำอันล่ำค่า และเป็นปะหวัดสาด  ซึ่งติดพันกับแบบแผนดำลงชีวิตของปะชาชนลาว บันดาเผ่ามาแต่ดึกดำบัน และยังเป็นสะถานที่ท่องเที่ยว ทางด้านวัดทะนะทำที่สำคัน และมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของสะหวันนะเขต.
นั้นก็เป็นคำจากรึก ที่บ่งบอกถึงความเป็นมาของพะทาดโพ่น แห่งนี้  ซึ่งเป็นที่ชาวบ้านทั้งชาวลาว จะนับถือกันมาก ตลอดจนชาวไทย ที่ได้เข้ามากราบไหว้ขอพร มักได้รับพรสมมุ่งมาดปรารถนาทุกคน
ในพื้นที่ของวัด ตลอดจนรอบบริเวณ โดยทั่วไป จะเห็นต้นตาลขนาดใหญ่ อยู่ทั่วไป และภายในบริเวณวัด ก็จะมีชาวบ้านนำ น้ำตาลก้อน ที่ทำจากตาลตะโนดมาเคี่ยวจนเป็นก้อน นำมาขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวกราบขอพรกันยัง บริเวณวัดนั้นเอง
ทางด้านขวามือ ของวัดพระทาดโพน ยังมีสระน้ำ ที่เชื่อว่าเป็นสระน้ำอะโนดาด ที่กว้างใหญ่ กินพื้นที่อาณาบริเวณของวัดหลายสิบกว่าไร่  มีต้นมะพร้าวปลูกไว้โดยรอบ และมีความสงบร่มเย็นพอสมควร
ที่พระธาตุโพน ในแต่ละวันจะมีชาวบ้าน ทั่วทุกแห่งหน ที่นับถือและมีความเชื่อมั่นในพุทธานุภาพของ องค์พระธาตุ โพ่น ว่าเมื่อมาบนบานศาลกล่าว ขอให้ทั้งงานการในหน้าที่สำเร็จ  ตลอดสิ่งติดขัดในชีวิตให้หมดไป ให้ชีวิตมีความสะดวก คล่องตัวทั้งในการงาน การเงิน เมื่อมาขอแล้วมักได้ดังที่ขอ และเมื่อสำเร็จจากพร ที่ขอแล้ว เมื่อมีเวลาและโอกาศ ก็จะพากันมาแก้บน กับพระธาตุโผ่น อีกทีหนึ่ง

ซึ่งที่นี้ มักนิยมบูชาพระธาตุโพน ด้วยขันหมากเบง  ซึ่งทำมาจากใบตองกล้วย ทำเป็นรูปกรวยเล็ก ๆ หลาย ๆ อันเสียบติดกันเป็นกรวยกลม แล้วแซมด้วยดอกไม้หลากสี  และธูปเทียนขันห้า ใส่มาในพานบ้าง หรือ ทำเป็นกรวยคู่ มีดอกไม้ธูปเทียนเสียบไว้โดยรอบ นำมาบูชา จะเป็นการบนบาน หรือ การแก้บนก็จะใช้ขันหมากเบ็ง ในการบูชา ที่พระธาตุโพนแห่งนี้ทุกครั้ง 
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุโพนนี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นชาวลาวเอง หรือว่าชาวไทย ตลอดจน ชาวลาวผู้อพยพไปอยู่ต่างแดนทำมาหากิน เมื่อทำมาค้าขึ้นกิจการเจริญรุ่งเรือง ตามที่ได้เคยมาขอพร ก็จะไ้ด้เห็นผู้คน ที่พากันมาไหว้กราบขอพรแก้บน ในแต่ละวันอยู่เป็นอันมากแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน


ความงดงาม ของวัดวา และความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรอบ และประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่ยังสืบทอดรักษา มาได้อย่างโบร่ำโบราณ ในทุกวันนี้ ทางวัดของที่นี่ ก็ยังสืบสานอนุรักษ์ วัฒนธรรมอันดีงามของชาวลาวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น การไหว้พระสวดมนต์ การทำพิธีกรรมของที่นี่ ก็ยังมีมนต์ขลัง อย่างในอดีต
บันทึกเที่ยวในความทรงจำ มีความประทับใจ ในการได้มาเที่ยวชม และดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทางฝั่งนี้  และกราบไหว้ ขอพรพระทาดโพน ในครั้งนี้ จึงขอบันทึกเรื่องราวและความเป็นมาต่าง ๆ ไว้ให้อยู่ในความทรงจำของผู้เขียน ตลอดไป ..