2 พ.ย. 2562

หลวงพ่อทันใจ วัดนาคูโมทนามัย ต.บางกะไห อ.เมืองฉะเชิงเทรา

หลวงพ่อทันใจ วัดนาคู อ.เมืองฉะเชิงเทรา

โดย.ณ วงเดือน



        เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมวัดวาอาราม  เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผม นิยมอันดับต้น ๆ ที่จะแวะเข้าเที่ยวชมเป็นอันดับแรก  มาครั้งนี้ได้มีโอกาศผ่าน ถนนสายทางหลวงชนบท  ฉช.3020  จากปากทางถนนใหญ่สาย บางปะกง-ฉะเชิงเทรา ก่อนจะเข้า ตัวเมืองฉะเชิงเทรา  เลี้ยวซ้ายไปยังวัดนาคู 
         วัดนาคูโมทนามัยปุญญาราม ตั้งอยู่หมู่ 2 ต.บางกะไห อ.เมืองฉะเชิงเทรา เป็นวัดราษฎร์   สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ หมู่ 2 ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 11 ไร่ 3 งาน เดิมตั้งเป็นสำนักสงฆ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2442 ซึ่งเป็นสมัยรัชกาลที่ 5 และได้รับอนุญาตให้ตั้งวัดเมื่อปี พ.ศ. 2482   ด้วยที่วัดนี้ ไม่ได้อยู่ในเส้นทางสายหลัก ที่ผู้คนสัญจรมากนัก วัดจึงไม่เป็นที่รู้จักของผู้ตนมากนัก และแต่เดิมนั้นความเป็นมาต่าง ๆ  ก่อนที่จะเป็น
วัดนาคูโมทนามัยปุญยธาราม เดิมชื่อว่า "วัดโมทนามันปุญญาราม" ในปัจจุบันนี้  สมัยนั้น   ได้มีการขุดคลองคูลัด  ข้างวัดไปคลองบางกะไห เพื่อความสะดวกในการสัญจรไปมา ซึ่งการเดินทางสัญจร สมัยก่อนนิยมเดินทางด้วยเรือ  ชางบ้านจึงเรียกชื่อว่า "วัดนาคู" ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดเพื่อความเหมาะสม จึงได้ตั้งชื่อว่า "วัดนาคูโมทนามัยปุญญาราม"  ใน ปี พ.ศ 2430  ได้รับเขตวิสุงคามสีมา  กว้าง  40 เมตร ยาว 80 เมตร  และในสมัยก่อนนั้นวัดแห่งนี้  เป็นที่นิยมมางานทำบุญงานบวช อย่างล้นหลาม ในสมัยหลวงพ่อพระครูธรรมกิจนิเทศน์  หลวงพ่อบุญชู ธัมมโชโต
 ในอดีตวัดนาคู มีท่านเจ้าอาวาส เรียงตามลำดับดังนี้  1. พระอธิการชื้น  ปี พศ.2435-2439  2.พระอธการโพ้ง  พศ.2440-2467  3.พระอธิการบัว พ.ศ.2468-2472 และ3.พระครูเฟื่อง  พศ.2473-2484  4. พระครูธรรมกิจนิเทศ ( บุญชู  ธัมมโชโต ) พ.ศ.2485-2530  5.พระครูสมุห์ สมพิศ ธัมธโร  พศ.2531-2535 6.พระครูประโชติวุฒิคุณ ( ประสาน   ท้วมพงษ์   )  พศ.2537-ปัจจุบัน
    ปัจจุบัน มีหลวงพ่อพระครูประโชติวุฒิคุณ  ( ประสาน ชุติวัณโณ ) เป็นเจ้าอาวส   มาตั้งแต่ ปี พศ.2537 จนถึงปัจจุบัน ได้ก่อสร้างเสนาสนะ พัฒนาวัดให้มีความเจริญขึ้นตามลำดับ และได้จัดสร้างองค์ หลวงพ่อทันใจ เพื่อให้คนได้มากราบไหว้ บูชา ขอโชคลาภและเป็นที่พึ่งทางใจ โดยสร้าง หลวงพ่อทันใจ โชคลาภมาไว สมปรารถนา  เมื่อ เดือนตุลาคม 2555 นอกจากนี้ ยังมีพระสังกัจจายณ์ ให้ลาภและหลวงปู่ทวด เยียบน้ำทะเลจืด มาให้ขอโชคพร เพื่อความเป็นสิริมงคล  ถือเป็นวัดที่สะอาดเงียบสงบ และน่าแวะมาไหว้พระ เพื่อความสงบจิตใจเป็นอย่างยิ่ง
   ทางผู้เขียนได้แวะเข้าชมและกราบไหว้มาแล้วจึง ของบันทึกเรื่องราวดีๆ ไว้เพื่อความทรงจำต่อไป..

                                                  @@@@@@@@@@@@@@@@@@

วัดเขาไม้แดง พระอาจารย์สมชาย อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

หลวงพ่อยงยุทธ ธัมมโกสโล  บูรพาจารย์ วัดเขาไม้แดง
โดย.ณ  วงเดือน


                    ด้วยความที่ผู้เขียน มีความตั้งใจมานานแล้ว ที่จะมากราบหลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง ต.บางพระ อ.ศรีราชา เป็นวัดที่หลวงพ่อได้มาอยู่ปฎิบัติธรรม จนตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นและกลายเป็นวัดเจริญขึ้นในเวลาต่อมา
      ได้ยินกิตติศัพย์บารมีหลวงพ่อมานาน ถึงความมีเมตาสูง  มีพลังจิตแก่กล้า และคาถาอาคมเข้มแข็ง ในสมัยที่ผู้เขียนยังอาศัย อยู่ที่ จ.ชลบุรี
       ในปี  พศ.2531 กว่า 30 ปีมาแล้วในสมัยนั้นการสัญจรไปมา ก็ยังลำบากเลยไม่มีโอกาศได้ไปกราบหลวงพ่อ จนล่วงเลยมานาน จึงได้มีโอกาศมากราบท่านเมื่อหลวงพ่อสิ้นไปแล้ว จึงขอตามรอยพระอริยะผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ แม้วาสนา จะได้มากราบไหว้ท่าน ในภายหลังก็ถือเป็นบุญวาสนา อย่างยิ่ง จุวขอนำเอาความเป็นมาประวัติคร่าว ๆ ของหลวงพ่อมาบันทึกไว้เป็นความรู้ ได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่านให้คงอยู่ตลอดไป
   หลวงพ่อยงยุทธ  เกิดเมื่อ 17 กย. 2470  ในเรือนแพ ที่จอดอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เขต อ.ไชโย จ.อ่างทอง  มีชื่อเดิมว่า จำปี แก้วไพรำ ในช่วงเด็ก พ่อแม่ได้นำตัวไปฝากเป็นลูกศิษย์ก้นกุฎี กับท่านพระครูโกวิทนวการ หรือหลวงปู่โห้ เจ้าอาวาสวัดวงษ์ภาศนาราม เพื่อให้ได้อยูาศึกษาเล่าเรียน จนจบประถมชั้นปีที่ 7 และได้มาศึกษาต่อที่ โรงเรียนปัทมโรจน์ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดอ่างทอง  จบมัธยมปลายที่  ต่อมาท่านได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ยงยุทธ เมื่อครั้งมาศึกษาต่อ ชั้น ม.8 ที่ฝั่งธนบุรี กทม. แล้วจบการศึกได้เข้าทำงานที่วิทยุการบินแห่งประเทศไทย

   จนอายุ 23 ปี ได้ลางานเป็นเวลา 15 วัน เพื่ออุปสมบททดแทนคุณมารดาบิดา ที่วัดบ้านป่า อ.ไชโย เมื่อ ปี พศ.2493 โดยมีหลวงปู่โห้ ทีสมัยหลวงพ่อยงยุทธ เคยเป็นลูกศิษย์อาศัยอยู่สมัยเรียนชั้นประถม กับหลวงปู่โห้ ที่ จ.อ่างทอง โดยมีหลวงปู่เป็นพระอุปัชชาย์  และพระครูวิบูลย์สังฆกิจ จอ.ไชโย เป็นพระอนุสาวนาจารย์  พระอธิการตี๋ เจ้าอาวาสวัดประสาทเป็นพระกรรมวาจาจารย์  ได้ฉายาว่า ธัมมโกสโล เมื่อบวชครบ 15 วัน ท่านซาบซึ้งใจในรสพระธรรม เลยตัดสินใจบวชต่อและได้ออกปฎิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฎฐานต่อ กลับหลวงปู่ลิ้ม วัดไทรใต้ จ.นครสวรรค์  และครูจาบ ชาวฆราวาสที่เก่งด้านปฎิบัติเพ่งกสิน

   ในปี พ.ศ.2502  ได้ออกเดินธุดงค์ปฎิบัติธรรมลงมาเรื่อย ๆ จนถึง จ.ชลบุรี และพบว่าที่บริเวณที่ตั้งบนเขาไม้แดง ในปัจจุบันนี้ มีความสงบร่มรื่นเหมาะแก่การอยู่พักปฎิบัติธรรม ท่านจึงได้ อาศัยที่นั้นเป็นที่จำพรรษามาตลอดจน มีผู้คนที่เห็นวัตรปฎิบัติอันดีงามของหลวงพ่อ ต่างเริ่มทะยอยมาทำบุญมากขึ้นเรื่อย ๆ จนพัฒนาจาก เสนาสนะที่สร้างขึ้นง่าย ๆ จนทีผู้ศรัทธาสร้างเสนาสนะถวาย ให้ท่านอยู่ดีขึ้น  และได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพเรือภาคตะวันออกสมัย มาช่วยสร้างเสนาสนะอื่นๆ ให้มั่นคงแข็งแรง เป็นที่ทำบุญของสาธุชนทั่วไป  นอกจากท่านมักน้อยสันโดษแล้ว ท่านยังถือว่าเป็นผู้มีวิถีจิตกล้าแกร่ง วัตถุมงคลหลายรุ่นของท่าน จะได้รับความนิยมมาก
   ใน ปี พศ.2507  ได้สร้างบันไดรูปพญานาคขึ้นสู่ยอดเขา  เป็นจำนวน 142 ขั้น เสร็จสมบูรณ์ใน ปี พศ.2509 ในปี พศ.2521 ได้ก่อสร้างอุโบสถจตุรมุขขึ้น บนยอดเขา และสำเร็จใน ปี พศ.2524  และได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูในราชทินนามว่า พระครูธรรมกิจโกวิท  ในเรื่องของวัตถุมงคลของท่านนั้น ได้จัดสร้าง เอาไว้หลายรุ่น โดยรุ่นแรกท่านได้จัดสร้าง ในปี พศ.2516  เป็นเหรียญรูปไข่มีหู จัดสร้าง 4 สี คือ กะไหล่เงิน ทอง นาก  และรมดำ อย่างละ 2,000 เหรียญ เพื่อหาทุนสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ให้ญาติโยมได้เข้ามาทำบุญได้รับความสะดวกมากขึ้น จนเป็นเหรียญที่หายากแบะเป็นที่นิยมของผู้แสวงหามากเลยทีเดียว
ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชราด้วยอาการสงบ ที่ รพ.สมเด็จพระบรมราชเทวี ศรีราชา  เมื่อวันที่ 17 พย. 2545  สิริอายุ 75 ปี 2 เดือน พรรษา ที่ 52  ทางผู่้เขียนได้มีโอกาศวาสนาได้ไปกราบท่านหลังล่วงเลยมาแล้วกว่าหลายสิบปี ก็ยังนับเป็นบุญวาสนาได้มากราบท่านและ นำคุณงามความดีของท่านมาบันทึกไว้ เพื่ออยู่ในความทรงจำและเป็นข้อมูลความเป็นมาของท่านไว้ ณ ที่นี้..

                                           @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

31 ต.ค. 2562

สถานีรถไฟกรุงเทพ ( หัวลำโพง ) ความเก่าแก่มีเสน่ห์ในมนต์ขลัง

สถานีรถไฟแห่งแรกของประเทศไทยสถานีหัวลำโพง

โดย.ณ วงเดือน
              




               นานมาแล้วที่ทางผู้เขียนไม่เคยได้ใช้บริการ โดยสารขนส่งรถไฟเลย จนถึงวันนี้ก็หลายสิบปีทีเดียว   วันนี้ได้ ผ่านมาที่สถานีใหญ่ต้นทางคือสถานีรถไฟกรุงเทพมหานคร  หรือที่ชาวบ้านเรียก สถานีรถไฟหัวลำโพง  จึงขอมานำเอาความเป็นมาและบรรยากาศที่สถานีรถไฟหัวลำโพง แห่งนี้ มาให้ชมความเปลี่ยนแปลงจากอดีต 
 สู่ปัจจุบันว่าเหมือนเดิมหรือแตกต่างจากอดีตแค่ใหน และได้รู้ความเป็นมาของสถานีต้นทางแห่งนี้ ก่อนที่จะกลายเป็นตำนาน   และย้ายไปอยู่ที่บางซื่อ ในอนาคตอันใกล้นี้ สถานีรถไฟกรุงเทพ แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นสถานีรถไฟแห่งแรก ของไทยเรา ถือเป็นสถานีที่เก่าแก่ที่สุด  เริ่มก่อสร้างขึ้นในปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 5  มีพื้นที่บริเวณ 120 ไร่  จนในปี   พศ. 2453 ทำการก่อสร้างเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อวันที่  25 มิถุนายน 2459 ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่  รัชกาลที่  6                          
            โดยในปัจจุบันปี 2562  นี้สถานีรถไฟหัวลำโพง ยังสามารถเชื่อมต่อกับ  รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ได้บริเวณด้านหน้าติดถนนพระราม 4   ในการก่อสร้างสถานีเป็นแบบทางสถาปัตยกรรมที่ มีลักษณะโดม สไตล์อิตาเลียนผสมกับศิลปะแบบ   เรอเนสซองซ์   กรีก-ผสมโรมัน  เหมือนกันกับสถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ด ในประเทศเยอรมันนี  ประดับด้วยหินอ่อน และเพดานมีสลักลายนูน ต่าง ๆ มีนาฬิกาขนาดใหญ่รัศมี 80 เซนติเมตร ตั้งอยู่กลางสถานีรถไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งสถานีนี้สถานีรถไฟหัวลำโพงแห่งนี้        
                    เป็นสถานีให้บริการขนส่งสินค้า และขนส่งผู้โดยสารทั่วไป  มีอายุครบ 103 ปี เมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา
 โดยทีทำการอาคารสถานีรถไฟหัวลำโพง  ด้านในเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ หลังคาโค้ง  มีระเบียงยาวไปตลอดทางเดินมีความสวยงามโดดเด่นเป็นอย่างมากคือ กระจกสีที่ช่องระบายอากาศ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังซึ่งประดับไว้อย่างผสมผสานกลมกลืนกับตัวอาคาร เช่นเดียวกับนาฬิกาบอกเวลาซึ่งติดตั้งไว้กลางส่วนโค้งของอาคารด้านในและด้าน นอก โดยเป็นนาฬิกาที่สั่งทำขึ้นพิเศษเป็นการเฉพาะ ชั้นล่าง ยังมีร้านขายอาหารเครื่องดื่ม    ด้านหน้าของที่ทำการ    จำหน่ายตั๋วมีจอทีวีขนาดใหญ่ ให้กับประชาชนได้ดู  เพื่อการประชาสัมพันธ์ ให้ผู้โดยสารทราบในเรื่องต่าง     นอกจากยังมีระเบียงด้านบนภายในสถานี มีร้านกาแฟที่ผนังด้านซ้ายและขวาของสถานีกรุงเทพมีภาพเขียนสีน้ำ เป็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ของประเทศ อาทิพระบรมมหาราชวัง ตลาดน้ำ เขาวัง   ภูกระดึง  หาดสมิหลา  นอกจากนี้ที่ด้านหน้าสถานีมีสวนหย่อมและน้ำพุสำหรับประชาชน โดยข้าราชการรถไฟ    
 ได้รวบรวมทุนทรัพย์จัดสร้างอนุสาวรีย์น้อมเกล้าฯ อุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระพุทธเจ้าหลวง อนุสาวรีย์ที่ว่านี้เป็นรูป “ช้างสามเศียร” มีพระบรมรูปของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แกะสลักเป็นภาพนูนสูงประดิษฐานอยู่ด้านบน  
                                    ในทุกวันนี้ สถานีแห่งนี้ มีบริการ เส้นทาง  ขึ้นไปสู่ภาคต่าง ๆ  ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก 4 เส้นทาง ดังนี้ คือ สายขึ้นสู่ภาคเหนือ  สิ้นสุดปลายทางที่ เชียงใหม่  ระยะทาง 751.42 กม.  ,สายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สู่อิสาน มีแยกสถานีชุมทางถนนจิระ  ออกเป็น 2 สาย คือปลายทาง อุบลราชธานี ระยะทาง 575.10 กม. และอีกปลายทาง สู่ิจ.หนองคาย ระยะทาง 621.10 กม.  และ อีกสาย คือสู่ภาคตะวัน ปลายทางแยก 2 เส้นทาง  คือสิ้นสุดที่ อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี
                         ระยะทาง 254.50 กม.  และปลายทางที่บ้านพลูตาหลวง อีกระยะทาง 184.03 กม.ดินรถไฟลงสู่ภาคใต้  จะเริ่มต้นทางที่สถานีกรุงเทพ และสถานีธนบุรี   เมื่อถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่แล้ว   
        ก็จะแยกออกเป็น 2 สาย ปลายทาง    คือสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ   ปลายทางประเทศมาเลเซีย ระยะทาง 973.84 กิโลเมตร และอีกปลายทางสถานี คือสถานีสุไหง-โกลก ระยะทาง 1,142.99 กม.
                   ในอนาคต สถานีรถไฟหัวลำโพงแห่งนี้จะปิดทำการเป็นพิพิธภัณฑ์ การเรียนรู้ ของประชาชน  ด้านประวัติศาสตร์ของการรถไฟ เมื่อทำการก่อสร้างสถานีรถไฟแห่งใหม่สำเร็จ ที่สถานีบางซื่อ ใกล้กับขนส่งหมอชิตใหม่ ในปัจจุบันนี้นั้นเอง ซึ่งก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ และจะเป็นศูนย์กลาง ขนส่งแห่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม  โดยยกระดับ เป็นสถานี แกรนต์ สเตชั่น  เลยทีเดียวทั้งยังเป็นต้นทาง ของรถไฟฟ้าสายสีแดง  รวมทั้งจะเป็นชุมทางไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของไทยเรา บันทึกท่องเที่ยว จึงนำมาลงบันทึกไว้ ให้อยู่ในความทรงจำต่อไปและเป็นข้อมูลความรู้  ของผู้เขียนด้วยซึ่งในอนาคต ที่นี่จะกลายเป็นอดีตในความทรงจำต่อไป..


@@@@@@@@@@@@@@@@@@

30 ต.ค. 2562

ลุงเชย วัดมะกอก ที่พึ่งของนักแสวงโชคขอหวย เขตพญาไท กทม.

ขอหวยเสี่ยงโชค กับลุงเชยวัดมะกอก

โดย..ณ  วงเดือน

         ผมไปท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ พบเรื่องแปลก และทุกเรื่องที่น่าสนใจก็จะนำมาบันทึกไว้เป็นความรู้และทรงจำที่ได้ไปพบเจอมา ได้บันทึกเรื่องต่าง ๆ ไว้ อย่างเช่น  เรื่องของศพโบราณไม่เน่าเปื่อย ที่ชาวบ้านเรียกว่า ลุงเชยนั้น ผมได้รับฟังมานาน ทั้งจากสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าหนังสือ ทีวี หรือว่า วิทยุ ก็เคยเอาเรื่องศพไม่เน่าเปื่อยของลุงเชย ไปอ่านข่าว เล่าขานกันอยู่เนือง ๆ

              ในโอกาศนี้ทางผู้เขียนได้มีโอกาศ ไปที่ วัดอภัยทายาราม” หรือว่าวัดมะกอก จึงพลาดไม่ได้ที่จะไปดูให้เห็นกับตาด้วยเช่นกัน  วัดนี้ตั้งอยู่เลขที่ 15 ตรอกวัดมะกอก ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 


        ประวัติคร่าว ๆ ของวัดมะกอก เป็นวัดที่สร้างแต่ ปี พ.ศ. 2340    มีพื้นที่ใหญ่พอสมควร ที่ด้านหลังวัดมีป่าช้าเก่า  ติดท้ายวัดอวัดและความที่วัดสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๔๐ ซึ่งถือว่ามีอายุวัดนานทีเดียว
จนถึงตอนนี้ก็อายุราวๆสองร้อยกว่าปีเข้าไปแล้ว
   ที่ป่าช้าเก่าท้ายวัดแห่งนี้ มีศพคนตาย ในสมัยโบราณ  ทีได้ถูกนำมาทิ้งที่ป่าช้าท้ายวัดนี้มีจำนวนมากนับร้อยพันศพ  จนมากระทั่งทางวัดได้พัฒนาท้ายวัดที่เป็นป่าช้าเก่า และได้พบ ศพลุงเชย ที่ไม่เน่าเปื่อยแต่อย่างใด  เป็นที่แปลกประหลาดใจในสมัยนั้นมาก จึงนำศพลุงเชย   มนุษย์โบราณศพไม่เน่าไม่เปื่อย    มาไว้ยังศาลาเพื่อที่จะคิดทำการต่อไป   ซึ่งชาวบ้านแถบนั้น ที่รู้ข่าว ต่าง แห่แหนมาดูกันเป็นอันมาก ถึงความแปลกประหลาดที่ศพมีอายุหลายร้อยปี ไม่เปื่อยเน่าแต่อย่างใด  เมื่อปากต่อปาก ผู้คนจากทั่วสารทิศที่ทราบข่าวก็มาขอหวยกันตามความเชื่อ  
ที่มา มากราบไหว้ ขอโชคลาภ บ้างก็เห็นตัวเลข ที่ปรากฏให้เห็น ถูกดวงดีก็มาก แล้วแต่วาสนา ใครมัน ยิ่งมีคนที่เคยถูกปากต่างเล่าลือต่อ ๆ กันไป  จึงยิ่งทำให้คนมาที่นี่มากขึ้น   แต่ก่อนศพลุงเชยไม่ได้อยู่ในศาลามีกระจกครอบแบบปัจจุบัน ทางวัดนำมาไว้ในศาลาและให้คนมากราบไหว้ ก็มีคนนำของมาเซ่นไว้มากมาย แต่ก็ยังมีคนลองของมาขโมยของเซ่นไหว้ไปอยู่เนื่องๆ จนมีคนมาบนกับลุงเชยว่าหากถูกหวยจะปรับปรุงศาลาติดกระจกครอบกันของหายให้ ปรากฏว่าถูกจังๆ เขาเลยมาปรับปรุงศาลาให้เป็นที่ตั้งศพ ของลุงเชย อย่างที่เห็นปัจจุบันนี้
     ในสมัยโบราณ คนสมัยนั้นมักจะมีรูปร่างสูงใหญ่ อย่างที่คนเล่าขานกันว่า คนสมัยก่อน อก 8 ศอก ซึ่งจะใหญ่โตพอสมควร  เพราะขนาดศพของลุงเชย ที่ตายแห้งเหี่ยวไปนานนับไม่น้อยกว่าเป็นร้อยปี แล้ว ยังมีความสูงถึง 2 เมตรเลยทีเดียว 
        ผู้คนที่มากราบไหว้ ขอโชคลาภ โดยเฉพาะจากหวย ทุกก่อนวันที่หวยออก ต้นเดือน กลางเดือน จะมีผู้คนแห่กันมากราบขอโชคกันอยู่เนือง ๆ   ซึ่งต่างที่มา ก็ได้รับการบอกต่อเล่าขาน ถึงความเฮี่ยน ของศพลุงเชย ที่เล่าต่อๆ กันไปนั้นเอง
 นี่คือที่มาคราวๆจากที่ชาวบ้านเล่ากัน

            ส่วนท่านที่ได้หวยตรง ๆ จะแม่นไม่แม่น จากความเฮี้ยน  ของลุงเชย ที่ให้ จะถูกตรง ๆ หรือว่าเฉียดฉิว ก็อยู่ที่ดวงวาสนา ชะตาของใครของมันนั่นเอง     ในส่วนของผู้เขียนเองก็ได้เข้าไปไหว้ขอโลชคลาภด้วยเช่นกัน เผื่อมีวาสนา ดวงมาบุญหล่นทับ จะได้มีทุนตะลอนไปในที่ต่าง ๆ มากขึ้น   ใครที่ไปชมแล้วหิว ที่ด้านข้าง ๆ วัดริมคลอง ยังมีร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดัง ให้บริการกับผู้คนทั่วไปในรสชาดที่ถูกปาก ก็ลองไปชิมกันดู  วัดมะกอก ไปมาสะดวก อยู่ติดข้าง ๆ ใกล้กับ รพ.พระมงกุฎนั้นเอง ก็ลองมาพิสูจน์ความเฮี้ยน ขอโชคลาภกันดูครับ ผู้เขียนก็ไปมาแล้วจึงนำเรื่องราว ที่เป็นที่น่าสนใจของผู้คน มาบันทึกไว้เป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง ให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป..

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

29 ต.ค. 2562

วัดพูสะเลา เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว

 พระใหญ่บนยอดเขาพูสะเลา อีกจุดแลนมาร์คหนึ่งของจำปาสัก

โดย..ณ  วงเดือน

     
                     เมื่อช่วงหน้าหนาวของปีก่อน ทางผู้เขียนได้มีโอกาศไปเที่ยวยังแขวงจำปาสัก สปป.ลาว  ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นดินแดนทางลาวใต้ เลยก็ว่าได้ จากกการเดินทางผ่านด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลฯ   โดยการเดินทางครั้งนี้ไปกับคณะทัวร์ของผู้แสวงบุญ โดยการนำของท่านพระครูศรีสุตาลังการ จอ.เขมราฐ เป็นผู้นำพาในการไปเที่ยวเยือนลาวใต้ในครั้งนั้น

           เมื่อทำการพิธีทางการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งหากใคร
มีพาสปอตก็ง่ายหน่อย หลังทำการผ่านพิธีเข้าเมืองเป็นที่
เรียบร้อย เราเดินทางไปยังจุดหมายแรก นั้นคือ วัดพูสะเหลา ซึ่งวัดนี้จะอยู่บนเนินเขาไม่สูงมากนัก มองจากฝั่งตัวเมืองจำปาสัก สามารถเห็นพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ บนยอดเขาลิบ ๆ ได้แต่ไกล ซึ่งเมื่อเราข้ามสะพานลาว-ญี่ปุ่น จากเมืองปากเซ  ด้านซ้ายมือคือที่ตั้งวัดพูสะเหลา  ซึ่งด้านหน้าของวัด นี้ยังมีบันไดหลายร้อยขั้น เพื่อเดินขึ้นไปยังด้านบน เลยมาอีกหน่อย จะเป็นทางลาดขึ้นสู่่ด้านบนของวัด   
                         หลังรถนำคณะเรา ขึ้นสู่ด้านบน ได้ให้ลงชมความงามบนยอดเขา ซึ่งด้านของวัดพูสะเหลา สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบตัวเมืองปากเซ ได้เลย

   บนวัดพูสะเหลานอกจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นจุดเด่นแล้ว ยังมีพระพุทธรูป ที่สร้างขึ้นบริเวณลานทางขึ้นวัดด้านขวามือ อีกนับร้อยองค์ที่เรียงราย เป็นระเบียบสวยงามมาก คณะทัวร์ของเรากว่าสิบชีวิต ลงจากรถตู้ เดินเที่ยวชมวิวทิวทัศน์จากยอดเขาลงมา มองเห็นสนามบินเมืองปากเซ อยู่ลิบๆ และความสวยงาม ของแม่น้ำโขงที่ทอดตัวคดโค้งไปมาเหมือนงูเลื้อยอย่างมีชีวิต
                      และสพานข้ามฟากด่านล่างอยู่ลิบ ๆ เราเดินถ่ายรูปพระใหญ่เสร็จ แล้วเดินต่อมายังลานพระ ที่สร้างเป็นทิวแถวยาวเยียดสวยงาม ถือเป็นอีกจุดที่ นักท่องเที่ยวเรานิยมถ่ายรูปกัน เพราะถือว่า เป็นอีกจุดที่มายังวัดพูสะเหลาแห่งนี้ จะขาดถ่ายรูปคู่กับพระพุทธรูปนับร้อยๆ องค์ไม่ได้

                        เดินเลยขึ้นมาอีกเกือบ 50เมตร จะเป็นวิหารขนาดไม่ใหญ่โตนัก เป็นที่ตั้งของรอยพุทธบาท และองค์พระแก้วมรกตจำลอง สามฤดู ใก้ผู้มาเที่ยวได้เข้าไปกราบไหว้ขอพรกันเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
      หากเราขึ้นมาด้านบนแล้ว อาจจะสงสัยว่า ทำไมวัดนี้ถึงเรียกวัดพูสะเหลา ก็เพราะบนเขาลูกนี้มีต้นสะเหลา มากมายเลยที่เดียว จึงได้ชื่อว่าวัดพูสะเหลา นั้นเอง

    ซึ่งวัดนี้ได้ยินมาว่าผู้ใจบุญนักธุรกิจใหญ่ ในตัวเมืองปากเซ เป็นผู้อุปถัมภ์และ สร้างทางลาดยางขึ้นมาสู่ยอดภู เพื่อให้นักแสวงบุญนักทีองเที่ยวได้ขึ้นมากราบไหว้เที่ยวชมได้สะดวก ปัจจุบันด้านบนวัดกำลังก่อสร้างเสนาสนะหลายอย่าง เพื่อรองรับผู้มาทำบุญบำเพ็ญและเป็นที่ต้อนรับญาติโยมด้วย  ใครมาถึงปากเซ แขวงจำปาสักแล้ว ก็ไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมความงาม บนยอดเขาแห่งนี้ ที่วัดพูสะเหลา  ทางผู้เขียนจึงขอบันทึกเรื่องราวดี ๆ ให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป.


@@@@@@@@