23 ต.ค. 2562

หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ อ.หนองแค จ.สระบุรี

หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปปางมาวิชัย

ตั้งอยู่ริมคลองระพีพัฒน์

โดย.ณ วงเดือน


           เรื่องความแปลกอภินิหาร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางผู้เขียนชอบไปเที่ยวชมและบันทึกไว้ในความทรงจำ เพื่อเป็นข้อมูลการท่องเที่ยว และเป็นข้อมูลสถานที่นั้น ๆ ด้วย
   ด้วยความที่ได้ฟัง ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแปลกอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์นี้มานานแล้ว หลายปี จนมามีโอกาศได้ไปกราบไหว้ ชมบารมีขอพรกับหลวงพ่อบ้าง โดยได้เดินทางไปถึง เมื่อเกือบช่วงเที่ยง แดดร้อน ๆ ของกลางเดือนตุลาคม
           ที่ตั้งของวิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่ได้อยู่ในเขตของวัด หรือ สถานที่อย่างที่เราเห็นทั่วไป  แต่ สถานที่ตั้งของหลวงพ่อนี้ กลับตั้งอยู่ริมคลอง ระพีพัฒน์ ติดถนน เล็ก ๆ เลาะเรียบคลอง ในเขตพื้นที่ บ้านหนองตาโล่ ต. คชสิทธิ์  อ.หนองแค  จ.สระบุรี  ด้านหลังเป็นที่ตั้งของตลาดหนองตาโล่  มุ่งหน้า รอยต่อ อ.อุทัย จ.อยุธยา
                   ตามเรื่องเล่ากล่าวขานกันมาถึงสถานที่นี้ว่า ในการขุดลอกคลองระพีพัฒน์ ขึ้นมา ได้มีคนงานขุดคลองเอาดินมาถม ยังบริเวณตลิ่งที่เป็นกองดินจอมปลูกตั้งอยู่นั้น  ทำให้ดินที่พอกองค์พระไว้ ได้แตกออกมา เผยให้เห็นองค์พระพุทธรูป เมื่อวันจันทร์ ที่ 2 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ปีกุล พศ.2502 

 ชาวบ้านเมื่อทราบข่าวต่างหลั่งไหล มากราบไหว้บูชากันมากและ เชื่อกันว่ามาบนบาน ขออะไรมักสำเร็จดังที่หวัง จึงได้ชื่อว่าหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบัน มีคณะกรรมการดูแล และอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับประชาชนที่มากราบไหว้ขอพรกัน

โดยรอบวิหาร มีสถานที่นั่งพักด้านหน้าของวิหาร และมีตู้รับบริจาคให้อาหารปลา โดยมีศาลาท่าน้ำหน้าวิหารหลวงพ่อ ให้เป็นที่ชาวบ้านได้ให้อาหารปลา
    นอกจากนี้ ข้างๆ ของวิหารมีร้านค้าสลากกินแบ่งจำนวนหลายร้าน ให้นักท่องเที่ยวแสวงโชคลาภกัน ด้านหน้า ของวิหารยังมีร้านสะดวกซื้อและ ห้องน้ำสุขา บริการให้กับผู้ มาขอพรกันอีกด้วย  ใครที่มากราบขอพรหลวงพ่อแล้ว ด้านข้างวิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์ ยังมีศาลของเจ้าพ่อหมื่นราม และมีที่จุดธูปเทียนอยู่ด้านหน้าด้วย
                  ที่นี่ในทุกปี ช่วงลอยกะทง เดือน 12 จะมีงานเฉลิมฉลององค์หลวงพ่อ มีร้านค้ามาร่วมขายของและร่วมงานบูชา องค์หลวงพ่อปฎิบัติเช่นนี้มาทุกปี ทางผู้เขียนจึงได้ถือโอกาศมา เที่ยวชมกราบไหว้และบันทึกไว้เป็นส่วนหนึ่งในบันทึกท่องเทียว อีกบันทึกหนึ่งให้คงอยู่เป็นความรู้ต่อไป..



                                             @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

17 ต.ค. 2562

ตำนานคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี

วังนาคินทร์ที่ คำชะโนด ทางลงสู่เมืองพญานาค

โดย.ณ  วงเดือน


           มีเรื่องเล่ามากมายที่เกาะคำชะโนด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของ 3 ตำบล คือ ต.วังทอง ต.บ้านม่วง ต.บ้านจันทร์  เขต อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี   เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับต่าง ๆ ที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อ ต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผีจ้างหนัง  ซึ่งเป็นข่าวดังมากเมื่อ ปี พศ .2532  ในสมัยนั้น      


      ตลอดจนเรื่องของผู้คนที่มาขอพร ขอโชคลาภขอหวยกันและถูกหวยรวยกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งเป็นกะแสพลุแตกผู้คนต่างหลั่งไหลเพื่อไปเข้าชมกันยังเกาะคำชะโนดแห่งนี้ เพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง รวมทั้งผู้เขียนเองด้วยที่ไม่พลาดที่จะไปดูด้วตาตนเองด้วย  จึงได้มีโอกาศเดินทางไปเมื่อช่วงปลายปีก่อนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นผู้คนกำลังแตกตื่นไปกันมาก ซึ่งทางผู้เขียนก็ไปถึงที่เกาะคำชะโนดเที่ยงคืนพอดี ซึ่งที่พักตลอดโดยรอบแถบนั้นเต็มหมด เพราะผู้คนกำลังอยากไปดูและพิสูจน์กันถึงเรื่องลี้ลับ ที่เล่าขานสืบต่อ ๆ กันมา

           มาดูเรื่องราว ความเชื่อรูปร่างของพญานาค ในภูมิภาคอาเซียนเรานั้น ส่วนมาก เชื่อในรูปร่างลักษณะทางกายภาคไม่แตกต่างกันมากนัก โดยส่วนมากเชื่อว่าเป็นงูใหญ่ มีหงอนสีทอง ตาสีแดง และมีเกล็ดตามตัวคล้ายปลา  มีรูปร่างสีสันต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์นาค ซึ่งแบ่งออกไปตามตระกูลของนาต จากต่ำ ถึงสูง  โดยมีจุดสังเกตจากหงอน ที่หัวของนาค  และ ขนาดที่มีหัวเพิ่มขึ้น  เช่น มีหัวตั้งแต่ 3 หัว 5หัว 7หัว และ 9 หัว และเคยมี บันทึกไว้ 11 หัว  ซึ่งทุกสายพันธุ์ของพญานาค จะมีเหล่ากอสืบเชื้อสายมาจาก  พญาอนันตนาคราช  ซึ่งเป็นผู้อยู่สุงสุด ของพญานาคทั้งปวง ซึ่งพญาอนันตนาคราช หรือมีชื่อว่า พญาเศษนาคราช ผู้เป็นบัลลังค์ที่ประทับของ พระวิษณุนารายณ์ปรมนาท โดยการเกิดขึ้นของ พญานาคนั้นเกิดขึ้นได้ทั้ง บนบก และน้ำ  หรืออาจจะเกิดจากครรภ์แบบมนุษย์ก็มี ตลอด เกิดมาจากไข่ ก็มีเป็นส่วนมาก  โดยมีคุณวิเศษมาโดยกำเนิดจากบุญญาบารมี

   สามารถทำให้เกิดทั้งคุณและโทษต่อ ใครก็ได้  ในคติความเชื่อของ ผู้คนโดยเฉพาะทางภาคอิสาน และฝั่งซ้ายเลาะเรียบแม่น้ำโขง ทั้งไทยและลาว  มีความเชื่อกันว่า พญานาคส่วนมากจะอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง  ซึ่งเชื่อว่า ใต้ของแม่น้ำของนั้นจะมีเมืองบาดาล  อันเป็นเมืองหลักของพญานาคทั้งหลาย
ซึ่งชาวไทยและลาว ของสองฝากฝั่งแม่น้ำโขง เชื่อตามตำนานเล่าขานกันมานานว่า ในเขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ด้านหัวเมือง จะมีลำห้วย หลวงไหลออกมาเรียก ว่า ปากห้วยหลวง  ที่อยู่ฝั่งบ้านโดน ของ ลาว  ซึ่งในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขาวขึ้นกลางแม่น้ำโขง แถบนั้น  มีวันหนึ่งได้มัหญิงสาวของบ้านโดน  ฝั่งลาว ได้ลงมาตักน้ำที่ หาดทรายนั้น ซึ่งจุดบริเวณดังกล่าวจะมีตาน้ำผุด ออกตลอดเวลา
หลังลงมา   เพื่อจะหาบเอาน้ำไปไว้ใช้กินและใช้งานอื่นๆ ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย  ทางพ่อแม่จึงได้ออกหาติดตาม ลงมายังท่าน้ำโขงแห่งนั้น แต่ไม่พบแต่อย่างใด ทิ้งไว้แค่รอยเท้าและ ถังใช้ตักน้ำนั้น  จนผ่านไป 7 วัน  คิดว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว  จึงได้พากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
จนมาถึงเที่ยงคืนของวันที่ 7  หญิงสาวคนนั้นก็เดินทางขึ้นมาจากหาดของแม่น้ำโขงนั้น และพ่อแม่ญาติต่างพากันดีใจมาก
       หลังจากนั้น ได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ไปพบเห็นให้ทางบ้านรับฟังว่า
ช่วงเย็นของวันนั้นได้ลงไปตักน้ำ ยังหาดทราย อย่างเช่นทุกวัน ได้เห็นหมูป่าตัวหนึ่่ง ได้ยกขาหน้าขึ้นมากวักเรียก ให้เข้าไปหา เมื่อเดินเข้าไปหาเหมือนโดนมนต์สกด หมูป่าตัวนั้นกลับพูดได้ และบอกว่า จะพาไปดูแก้วแหวนเงินทอง ที่เมืองบาดาล หากอยากได้ให้ตามมา และให้หลับตาลง เมื่อได้ทำตาม หลังจากลืมตาขึ้นมา ปรากฎว่าได้มาอยู่ยังเมืองบาดาลแล้ว
และได้ไปพบผู้คนมากมาย ซึ่งมีความสวยงดมากมาก ทั้งหญิงและชายแต่แปลก ที่ไม่พบ เด็กหรือว่าคนแก่ชรา อย่างที่ควรจะเป็น และได้ไปอยู่อาศัยยังบ้านของคนหนึ่ง ซึ่งมีอัธยาศัยน้ำใจดีมากให้เป็นที่พักพิง จนตื่นมาของอีกวัน ก็ปรากฎว่า ได้เดินกลับมายังที่ชายหาด ที่เก่านั้นและได้เดินกลับมาบ้าน ซึ่งทราบว่าตัวเอง ได้หายไปนานถึง 7 วันเลยทีเดียว
       นี่ก้เป็นอีกเรื่องเล่าหนึ่งที่พี่น้องสองฟากฝั่งไทยลาวนำเรื่องมาพูดต่อเนื่องเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาค ให้ได้รับรู้อยู่เนือง ๆ

   ส่วนที่เกาะคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี  ก็มีเรื่องเล่ามากมาย ดังที่เป็นที่ทราบกัน รวมทั้งเรื่องผีจ้าหนังซึ่ง ก็มีคนนำเอาเรื่องราวไปสร้างเป็นภาพยนต์ออกมาฉายแล้วก็มี โดยวันนั้นทางผู้เขียนก็ขอนำบันทึกเรื่องราวความทรงจำดี ๆ ไว้ที่นี่อีกต่อไปเพื่อยืนยันได้มาถึงแล้วกับสถานที่ลี้ลับและเป็นที่นิยมของนักแสวงบุยและขอโชคลาภทั้งหลาย ที่เกาะคำชะโนดแห่งนี้...


@@@@@@@@@@@@@@@











14 ต.ค. 2562

ท้าวเวสสุวรรณ วัดโพธิ์ใหญ่ อ.บางคลัา จ.ฉะเชิงเทรา

มากราบขอพร ท้าวเวสสุวรรณ อายุหลายร้อยปี ที่วัดโพธิ์ใหญ่
---------
โดย.. ณ  วงเดือน




    เมื่อเดือนก่อนทางผู้เขียน  ได้มีโอกาศเดินทางผ่าน อ.พนมสารคาม  จ.ฉะเชิงเทรา  และถือโอกาศแวะกราบไหว้ขอพร ท้าวเวสสุวรรณอายุหลายร้อยปี  และท้าวเทพทันใจ ที่ตั้งอยู่ภายในวัดแห่งนี้ด้วย

            วัดโพธิ์ใหญ่ แห่งนี้  ตั้งอยู่ที่ ต.เมืองเก่า  อ.พนมสารคาม  และเคยเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ในปี พ.ศ. 2536  อีกด้วย ที่ได้ชื่อว่าวัดโพธิ์ใหญ่ก็เนื่องมาจากหน้าวัด มีต้นโพธิ์ใหญ่มาก  จากการสอบถามและข้อมูลของทางวัด   ไม่ทราบว่า ก่อสร้างเมื่อใด มีเพียงคำบอกเล่า ต่อๆกันมาว่า วัดโพธื์ใหญ่ เริ่มสร้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. 2350 เมื่อครั้งที่ไทยไปรบชนะเวียงจันทร์ ประเทศลาวในสมัยนั้นมา  และได้ต้อนอพยพผู้คนลงมาด้วย
      ซึ่งตรงกับสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์    วัดโพธิ์ใหญ่นี้ ยังอยู่ใกล้เคียงกันกับ   วัดโพธิ์น้อย เพียง  200 เมตร เท่านั้น  วัดโพธิ์ใหญ่ แต่เดิม มีประมาณ 4 ไร่   ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่า ต้นโพธิ์ต้นนี้มีอายุเท่าไรไม่ทราบชัด แต่มีต้นโพธิ์ก่อน แล้วจึงมาสร้างวัดตาม  

      ทางผู้เขียนได้ขับรถเข้าไปยังบริเวณด้านในของทางวัด ซึ่งด้านซ้ายมือเมื่อขับเข้าไป จะมีลานวัดกว้าง และมีประรำดอกไม้ธูปเทียนให้ผู้คนที่เข้ามาได้เช่าบูชาทำบุญด้วย และยังมีพระมหาเจดีย์โพธินันทประภา  สูงเด่นเป็นสง่า สาดแสงสีทองผ่องอำไพดูสวยงามน่าเลื่อมใสมาก  ด้านหน้าของเจดีย์ก็เป็นที่ตั้งของไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ซึ่งดูขาวโพลนไป

ด้วยแป้ง  ซึ่งคาดว่า คงเป็นฝีมือของพวกคอหวย ที่ มาทาแป้งหาดูตัวเลขกัน ในวันใกล้หวยออกเป็นแน่แท้  นอกจากนี้ ซึ่งมีศาลาขนาดเล็ก เป็นที่ตั้งของท้าวเทพทันใจ และ คอกของวัว ควายให้ผู้คนได้ทำบุญให้หญ้าให้น้ำอีกด้วย    
       เมื่อเราตรงเข้าไปในวัด จะมีศาลาของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมัคทายกวัด ได้บอกกับผู้เขียนว่า สร้างขึ้นมากว่าหลายร้อยปีเลยทีเดียว  ส่วนใครจะบูชาธูปเทียน  ผ้าแดงเพื่อกราบไหว้ขอพร  ทางวัดก็มีจัดไว้ให้เรียบร้อยส่วนด้านขวามือยังมีศาลา ที่ตั้งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทางวัดหลายอย่างให้เราได้ไปจุดธูปไหว้พระกัน ก็ถือว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่พึ่งทางใจของผู้ที่กำลังแสวงหาที่พักทางใจ ได้เข้าวัดสวดมนต์ขอพรกันตามความเชื่อ อันใหนที่สบายใจและไม่เดือดร้อน ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นก็ทำไป...

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑




13 ต.ค. 2562

พระมงคลมิ่งเมือง จ.อำนาจเจริญ

พระใหญ่มงคลมิ่งเมือง พระคู่เมืองอำนาจเจริญ

โดย.ณ  วงเดือน

                    เมื่อกลางเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ได้มีโอกาศผ่านมา  ทางจังหวัดอำนาจเจริญ   อีกครั้งหนึ่ง จึงขอบันทึกจังหวัดนี้ไว้ในอนุทินบันทึกท่องเที่ยวของผู้เขียนไว้สืบไป จังหวัดอำนาจ ฯ  ตั้งอยู่ทางภาคอิสานตอนล่าง ของตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย     ซึ่งเมื่อก่อนขึ้นตรงกับจังหวัดอุบลราชธานี      มาแยกเป็นจังหวัด เมื่อวันที่  1 ธันวาคม  2536   พร้อมกันกับอีกหลายจังหวัดตั้งใหม่  เช่น  จ. หนองบัวลำภู  และ   จ.สระแก้ว                     จังหวัดอำนาจฯ มีพื้นที่ 3,161.248  ตร.กม. มีคำขวัญของจังหวัดว่า  " พระมงคลมิ่งเมือง แหล่งรุ่งเรืองเจ็ดลุ่มน้ำ งามล้ำถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เทพนิมิตพระเหลา เกาะแก่งเขาแสนสวย เลอค่าด้วยผ้าไหม ราษฎร์เลื่อมใสใฝ่ธรรม "
                จังหวัดนี้เป็นอีกแห่งที่ทางผู้เขียนต้องเดินทางผ่าน ทุกครั้ง และไม่พลาดที่จะแวะ เข้ากราบสักการะ " พระมงคลมิ่งเมือง" พระคู่เมืองของจังหวัด ภายในพุทธอุทยาน เนื้อที่กว่า 100 ไร่  มีป่าไม้ร่มรื่นสวยขจี  เย็นเงียบสงบในวันธรรมดา ที่คนไม่พลุกพล่าน อีกทั้งสถานที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมทั้งเป็นที่พักผ่อนจิตใจ และเดินออกกำลังกายของชาวบ้านแถบนั้น
                         ก่อนเดินทาง เพื่อความสวัสดีมีชัยในการเดินทางแทบทุกครั้ง ที่ผ่านเส้นทางนี้ จึงขอบันทึกไว้เพื่อเป็นข้อมูลความรู้ ถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ประวัติการสร้างพระมงคลมิ่งเมือง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 14 พย.  2506 แล้วเสร็จ เมื่อ 31 มีค. พ.ศ.พ.ศ.2508 และมีการนำพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดีย มาบรรจุไว้ภายในองค์ จัดทำพิธีพุทธาภิเษก เมื่อ วันที่ 13 พค. 2508 ปีเดียวกัน  ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อกันว่า หากมากราบไหว้ขอพรกันที่นี่เสมือนไปกราบไหว้ที่ ประเทศอินเดียเช่นกัน และมีความเชื่อว่า มาขอพรกราบไหว้จะทำให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้า มีอำนาจวาสนาสูง  เพราะถือเป็นพระมงคลหลักชัยประจำจังหวัด
      พระมงคลมิ่งเมืองเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเพชร ก่อสร้างด้วยค    อนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดหน้าตักกว้าง 11 เมตร ประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองทั้งองค์  สูง 20 เมตร  ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการบริจาคสมทบทุนสร้าง ในครั้งนี้ โดยในทุก ๆ ปี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ตรงกับวันมาฆบูชา จะถือว่าเป็นบุญประเพณี นมัสการองค์พระก็ว่าได้

 นอกจากนี้ด้านหลังขององค์ใหญ่  ยังมีใบเสมาโบราณ  ครกหิน ซึ่งชาวบ้านได้ขุดพบรวมทั้ง พระพุทธรูปหินทรายแดง 2 องค์ ที่ขุดพบในคราวเดียวกัน  ศิลปะทวารวดี ซึ่งชาวบ้าน เรียกว่าพระขี้ฮ่าย  เรียกตามลักษณะขององค์พระที่เห็น เชื่อกันว่าทางหนองน้ำ ด้านทิศใต้ของพุทธอุทยานแห่งนี้ มีเทวดา ได้เฝ้ารักษาหนองแห่งนี้มานานนับพันปี เลยทีเดียว ซึ่งใครมาไหว้พระใหญ่ แล้วมักจะกล่าวคำขอพร ต่อเทวดานั้นด้วย  ซึ่งทางผู้เขียนมาทุกครั้งมัก ไม่พลาดที่จะแวะขอพร และเสี่ยงดวงจากแม่ค้าขายลอตเตอรี่ข้าง ๆ องค์พระใหญ่นั้น  เพื่อหายจนกับเขาสักที คาดว่าคงจะสำฤทธิ์ผล ในเร็ววันนี้ จึงนำข้อมูลของความเป็นมาของพระใหญ่ เพื่อบันทึกไว้เป็นความรู้ในบันทึกท่องเที่ยวของทางผู้เขียนไว้เป็นความรู้สืบต่อไป.....

@@@@@@@@@@@@@@

วัดหลวงพ่อปากแดง จ.นครนายก

เขาว่าหลวงพ่อปากแดง ให้หวยแม่นต้องไปพิสูจน์

โดย.ณ  วงเดือน


          เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ปาฎิหาริย์ ซึ่งคนเขาเล่าขานกันมาหลายสิบปี เรื่องของหลวงพ่อปากแดง ที่ อยู่วัดพราหมณี ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก นั้นว่าท่านให้หวยแม่นมาก 
               ด้วยความตั้งใจที่อยากไปเห็นและความเป็นมาของ หลวงพ่อปากแดงว่า มีความเป็นมาอย่างไร จึงได้เดินทางไปพร้อมกับท่าน มหากมล มงคลเกตุ ผู้ชำนาญด้านการศาสนาและวัฒนธรรม  ได้พากันออกเดินทาง จากเขตหลักสี่ กทม. มุ่งหน้าสู่ จ.นครนายก ถึงวัดที่หมายเกือบเที่ยงพอดี  ซึ่งพบกับนักแสวงบุญ และแสวงโชค มาเที่ยวเยอะพอสมควร 
                 วัดพราห์มมณี  แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดหลวงพ่อปากแดง  จากการสอบถามและความเป็นมาของทางวัด ได้ทราบว่า สร้างมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยความสำคัญของวัดนี้ ก็อยู่ที่ พระพุทธรูปปางสมาธิ หรือเรียกว่าหลวงพ่อปากแดง นั้นเนื่องจาก รอยยิ้มของพระพุทธรูป ถูกทาด้วยสีแดงไว้ ชาวบ้านเห็นว่าแปลกและเป็นจุดเด่น ที่ทำให้คนจำได้ง่าย     
                                                 เลยพากันเรียกตาม ๆ ว่าหลวงพ่อปากแดง  ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์  หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 1 เมตร ศิลปะสมัยล้านช้าง  คาดว่าอายุ ราวประมาณ 400 ปี โดยคนเฒ่าคนแก่ ในพื้นที่นั้นบอกเห็นพระองค์นี้มาตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็เห็น ปากสีแดงเหมือนทาด้วยลิปสติก  และบ้างก็ว่า มีตำนานเคยกล่าวถึง
                                       พระพุทธรูป องค์ว่าเป็นพี่เป็นน้อง กันกับพระสุก พระไส ที่ประดิษฐานอยู่ ที่ จ.หนองคาย  ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ได้ถูกอัญเชิญมาพร้อมกันจาก นครหลวงเวียงจันทร์  สมัยชาวลาวอพยพ มาและได้นำพระพุทธรูปมาด้วย และแยกย้ายไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย  โดยเชื่อกันว่า นำขึ้นบนหลังช้างมา โดยในปัจจับุน ข้าง ทางขึ้นโบสถ์ไปกราบหลวงพ่อ จะมีรูปปั้นช้าง 2ข้าง ชื่อพลาย เงิน  กับพรายทอง  ซึ่งก็มีผู้นิยมบูชา ขอโชคลาภ กันไม่ขาดเช่นกัน  นอกนี้บ้างก็นิยม ลอดท้องช้างสะเดาห์เคราะห์กันด้วย ซึ่งไม่รู้ตอนนี้จะยังให้ลอดท้องช้างอีกมัย
ในส่วนของหลวงพ่อปากแดง ก็ได้มาอยู่ที่วัดแห่งนี้ จนเป็นที่กล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ มักขอ โชคลาภได้ดังใจปรารถนา ตามบุญกุศลของใคร ที่ถึงพร้อมก่อนนั้นเอง
   โดยชาวบ้านมากราบไหว้ขอพรกัน มักนิยมนำของมากราบไหว้ นอกจากดอกไม้ธูปเทียนแล้ว สิ่งนอกเหนือจากนั้นคือ การนิยมนำกล้วยน้ำหว้า 9หวี หมากพลู 9 ชุด พวงมาลัย 9พวง มาถวาย  และสิ่งหนึ่งที่ทางผู้เขียน เห็นแปลกประหลาด เสียไม่ได้ นั่นก็คือน้ำแดง
  ซึ่งเป็นน้ำขวดอัดลม น้ำสีแดงมาถวาย บ้างก็ยก ถวายเปิดขวดทุกขวดถวายกันเป็นลัง ๆ คาดว่า เป็นการบูชา และการขอพร โชคลาภก็เป็นได้ หรือ เป็นการแก้บน ที่ขอพรสำเร็จดังหวัง ก็จึงนำมาถวาย ตามที่บนไว้ก็เป็นได้
ในทุกวันก่อนหวยออกของเดือน จะมีผู้นิยมมากราบขอพร กันมากเชื่อว่า มักจะถูกหวยทุกครั้ง เมื่อกราบขอพรกันแล้วด้านหน้ายังมีด้วยเหตุนี้ ทางผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะมาดูให้เห็นกับตา ด้วย จึงได้นำข้อมูลมาเขียนบันทึกไว้ .


                                                      @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@