13 พ.ย. 2563

บึงสีไฟ ตำนานจรเข้พญาชาละวัน ที่เมืองพิจิตร

โดย. ณ วงเดือน

   ได้มีโอกาศเดินทางไปเยือนเมืองพิจิตร กับเที่ยวชมตำนานเรื่องราวชาละวัน จรเข้ยักษ์ในตำนาน วันนี้บันทึกเที่ยว ในความทรงจำ จึงขอบันทึกเรื่องราวไว้ เป็นอีกเรื่องราวที่ได้ไปเยือนมา
บึงสีไฟ เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่เป็นอันดับสาม ที่รองจากบึงบอระเพ็ด และบึงหนองหาน และ กว๊านพะเยา ของไทยเรา ซึ่งพื้นที่รอบของบึงน้ำสีไฟนี้ มีพื้นที่ทั้งหมด 5,390 ไร่ 

พื้นที่บึงสีไฟนี้  อยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพิจิตร ตั้งอยู่ในเขตตำบลในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ทั่วไป ถือเป็นสัญญลักษณ์ของ จังหวัดนี้เลยก็ว่าได้ เข้าเที่ยวชมฟรี เปิดทุกวันตั้งแต่ 09.00-18.00 น.
เมื่อเดินเข้ามา จะพบกับศาลากลางน้ำ เป็นศาลาขนาดใหญ่ นักท่องเที่ยว มักนิยมมาให้อาหารปลา บนศาลใหญ่แห่งนี้ นอกจากนั้นยังใช้เป็นจุดเลือกตั้งของทางจังหวัดแห่งนี้อีกด้วย และในพื้นที่ของบึงสีไฟนี้ ยังมีบ่อจรเข้ พันธุ์พื้นบ้านของท้องถิ่นนี้ให้คงไว้อีกด้วย

และด้านข้างศาลากลางน้ำ จะเป็นอาคารรูปปั้น  จรเข้ขนาดใหญ่พญาชาละวัน ในตำนานเรื่องไกรทองและนางตะเภาแก้ว ตะเภาทองซึ่งเป็นเรื่องราวนิทานพื้นบ้านของจังหวัดนี้ ที่ผู้คนรู้จักไปทั่วเป็นอาคาร มีความยาว 38 ม.กว้าง 6 ม.สูง 5 ม. ในตัวอาคารจัดเป็นห้องประชุมขนาด 25-30 ที่นั่ง 
เมื่อปี พ.ศ 2521 กรมประมง ได้จัดตั้งสถานที่ประมงน้ำจืดเพื่อเพราะพันธุ์ปลาและจัดสร้างเป็นอาคารแสดงพันธุ์ปลาเฉลิมพระเกียรติ เป็นอาคารรูป 9 แฉก ยื่นลงไปในบึงสีไฟ  มีตู้แสดงพันธุ์ปลาแปลก ๆ มากมาย กว่า 20 ชนิด 
บึงสีไฟนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นโซนท่องเที่ยว หลายจุดทั้งมีสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ฯ พระชนมายุครบ 80 พรรษา จัดสร้างเมื่อปี พ.ศ 2527 จำนวน 170 ไร่ เพื่อให้ผู้คนได้เดินออกกำลังกายกันด้วย
และ ยังมีจุดพาลูกหลานมาเที่ยวชมหลายจุดเช่น จุดชมนกกระจอกเทศ และจุดแสดงพันธุ์ปลาน้ำจืด หอชมนก และบ่อจรเข้ ตลอดมีจุดเรือปั่นเพื่อชมบัวในบึงได้อีกด้วย
ด้านหน้าทางเข้า ถือเป็นอีกจุดเด่น จุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน คู่กับจรเข้ยักษ์ ซึ่งก็คือพญาชาละวัน ที่เลื่องลือเป็นตำนานของที่นี่

การเดินทางมายังบึงสีไฟ มาได้หลายเส้นทาง ทั้งจากทางหลวงหมายเลข 4014 และ ทางหลวงหมายเลข 3003 และห่างจากตัวจังหวัดพิจิตร ตามทางหลวงหมายเลข 115 เข้ามาประมาณ 2  กม.เท่านั้น
บันทึกเที่ยว ในความทรงจำ ครั้งหนึ่งได้มีโอกาศ มาเที่ยวเยือนเยี่ยมชม สถานที่แห่งนี้ จึงขอบันทึกเรื่องราวความทรงจำ ที่ได้มาเยือนให้เป็นความรู้และคงอยู่ตลอดไป.
@@@@@@@@@@

พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ วัดสีชมพูองค์ตื้อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ วัดสีชมพูองค์ตื้อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย 
โดย.ณ วงเดือน


เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ก่อนเข้าพรรษา ปี 2563 ทางบันทึกเที่ยว ในความทรงจำได้มี   โอกาศเดินทางไปกราบพระเจ้าใหญ่ องค์ตื้อ ที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย วัดนี้มีความสำคัญและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาชาวไทยและลาว ตลอดทั้งสองฟากฝั่งลุ่มแม่น้ำโขงเลยทีเดียว
วัดนี้สังกัดมหานิกาย ตั้งอยู่บ้านหมู่ 8 บ้านน้ำโมง ต.น้ำโมง  อ.ท่าบ่อ บนเนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 
 ตามประวัติว่าวัดนี้  มีอายุการสร้างมาได้หลายร้อยปีแล้ว
ซึ่งภายในวัดมีสิ่งสำคัญ 5 อย่าง คือ 
1.พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ 2.พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะล้านช้าง 3.เจดีย์หางนกยูง 2 เจดีย์ 4.เจดีย์ดอกบัว 1 และ 5.หลักศิลาจารึก จาก11 หลัก เหลือ 4 หลัก
ประวัติการสร้างหลวงพ่อใหญ่องค์ตื้อ ว่าสร้างมาแต่สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ครองกรุงเวียงจันทร์ เมื่อปี พ.ศ 2105 ครั้งนั้น พระภิกษุพร้อมทั้งชาวบ้านน้ำโมง ที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้มีความคิดตกลงปลงใจ จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นเพื่อเป็นที่สักการะและให้อยู่สืบทอดชั่วรุ่นลูกหลานต่อไปภายหน้า

จึงได้ตกลงพร้อมใจกัน สร้างพระพุทธรูปขึ้นมา ด้วยการรวบรวมเรี่ยไร จตุปัจจัยตลอด เครื่องทองเหลือ ทองแดง ตามจิตศรัทธา ตลอดสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง 
ได้ทองมาทั้งหมดหนักถึงหนึ่งตื้อ 
ซึ่ง มาตราชั่งน้ำหนักของคนสมัยโบราณ จะเรียก 10 ชั่ง เป็นหมื่น 10 หมื่น เป็นแสน  10 แสน เป็นล้าน และ 10 ล้านเป็นโกฎิ  10 โกฏิ เป็น 1 กือ 10 กื้อ เป็น 1 ตื้อ 
โดยใช้ช่างทำพิธีเททองในครั้งนั้น มาจากช่างฝีมือฝ่ายเหนือ และช่างฝีมือชาวล้านช้างผสมร่วมมือช่วยกันทำ จนสร้างพระเททองเสร็จเรียบร้อย
แกะพิมพ์มา ได้พระพุทธรูปลักษณะงดงามมาก เป็นพระปางมารวิชัยนั่งขัดสมาธิ  ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ม. 29 ซม. สูง 4 ม.และประดิษฐานอยู่ที่ วัดศรีชมพูองค์ตื้อ
ที่ บ้านน้ำโมง อ.ท่าบ่อ นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน
และมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าครั้งหนึ่ง พวกจีนฮ่อ ได้ข้ามแม่น้ำโขง มาขึ้นที่ฝั่งวัดน้ำโมงแห่งนี้  เพื่อที่จะทำลายพระเจ้าใหญ่ องค์ตื้อ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ที่เคารพของผู้คนทั่วทั้งแถบนี้ เพื่อเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของชาวบ้าน
พวกจีนฮ่อทั้งหลาย ที่บุกเข้ามาด้านในวิหาร ได้ใช้มีดขวาน จ้วงฟันไปทั่วทั้งองค์พระ และได้ใช้ขวานฟันลงไปที่ บริเวณเข่า และแขนตลอดข้อมือ ทำให้เกิดเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ และได้มีเสียงร้องออกมาจากภายในองค์พระ พร้อมทั้งมีน้ำตาไหล ออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เป็นที่น่าเวทนายิ่ง พวกจีนฮ่อ เห็นดังนั้นพากันตกใจ กว่าจะเกิดภัยขึ้นกับพวกตน จึงได้พากันถอยกลับข้ามฝั่งลาวไปทันที
แต่เมื่อข้ามกลับไปแล้วปรากฎว่า กลุ่มจีนฮ่อเหล่านั้นต่างถึงแก่ความตายจนหมดสิ้นทุกคน อย่างไม่ทราบสาเหตุ  
 ในทุกวันนี้  ที่บริเวณหน้าตักข้างซ้ายก็ยังมองเห็น แผลเป็นขนาดใหญ่จากการถูกขวานฟันลงมา ให้เห็นจนทุกวันนี้
บริเวณข้อศอกขวาและที่หน้าตักข้างซ้าย ยังปรากฎมีรอยของมีคม ฟันลงมาเป็นรอยอย่างชัดเจน 
วัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ มีงานบุญประเพณีนมัสการองค์หลวงพ่อ สมโภชน์ประจำทุกปี จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม เรียกบุญเดือน 4  
ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 
บันทึกเที่ยว ในความทรงจำ ขอนำเรื่องราวความเป็นมา ของวัดนี้ และประวัติต่าง ๆ ขององค์หลวงพ่อใหญ่องค์ตื้อ เพื่อบันทึกเป็นความทรงจำและความรู้ ของผู้เขียนให้คงอยู่ตลอดไป..

@@@@@@@@@@@@@